“ที่พูดมาทั้งหมดนั่นจริงหรือเปล่า?”
เขาถามในสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจอีกครั้ง
แคโรได้แต่งุนงง ก่อนจะถามกลับ “อะไรของคุณ?”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอีกครั้งราวกับต้องการจะย้ำให้เธอเข้าใจ “เมื่อกี้ ที่คุณบอกแลนซ์ว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับหมอนั่นแล้ว คุณพูดจริงใช่ไหม?”
“ฉันพูดไปแล้ว” แคโรตอบปัด
ในคราแรกฉันคิดว่าเขาจะโมโห แต่ดิกสันกลับเงียบนิ่งไม่โต้ตอบอะไร พลันเอ่ย “ผมแค่หวังว่าคุณจะบอกผม... ผมแค่อยากให้คำพูดพวกนั้นเป็นเรื่องจริง”
ฉันได้แต่เงียบอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
เราสองคนทะเลาะกันตลอดเวลา แต่ตอนนี้กลับคุยกันได้อย่างราบรื่นเสียนี่ พูดตามความจริง ฉันคิดว่าเขากำลังประนีประนอมความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งคู่ และไม่ทำให้มันแย่ไปกว่านี้
ดิกสันพยายามอ่อนลงให้ฉัน
มือหนาคว้ากุญแจรถไปจากมือเรียว พร้อมเคลื่อนตัวไปยังที่นั่งฝั่งคนขับ “เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง”
แคโรอยากจะปฏิเสธความหวังดีนั้น แต่เธอรู้ดีว่าสภาพในตอนนี้ไม่สามารถขับรถได้ในแน่นอน ดังนั้นจึงทำได้แต่เงียบ และปล่อยให้ร่างสูงทำตามใจอยาก
แทบจะเที่ยงคืนที่เราเดินทางมาถึงคฤหาสน์ตระกูลชอว์ ดิกสันขับรถเข้าไปจอดในโรงรถให้ ก่อนที่เขาจะหันมาเปิดประตูพลางอุ้มเธอออกจากรถ ด้วยท่าเจ้าสาวแสนฮิตโดยปราศจากการขออนุญาต
ให้ตายสิดิกสัน เขาทำให้เธอทำตัวตัวไม่ถูก
และรู้สึกว่าเราควรจะเว้นระยะห่างระหว่างกันจะดีกว่า
ร่างสูงเปิดประตูห้องนอนโดยกดใส่รหัสเดิมที่จำได้ดี เลขหนึ่งสองสองเจ็ดที่ไม่เคยเปลี่ยน ก่อนจะเดินอุ้มร่างบางไปวางลงบนเตียงอย่างนิ่มนวล ฉันลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอ่ยบอกเขา “ขอบคุณที่มาส่งฉันถึงบ้าน”
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความผิดของเขาที่ฉันข้อเท้าพลิกแบบนี้ก็เถอะ
บางทีมันก็เป็นแค่การรักษาน้ำใจธรรมดา ๆ ต่อคนเจ็บแบบฉัน
ดิกสันยังคงยืนอยู่ตรงจุดโปรดปรานของฉัน ข้างๆ หน้าต่างบานใหญ่ ดวงตาคู่คมเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอกราวกับไร้สติ พลันเอ่ยถาม “คุณไม่เหงาบ้างเหรอ อยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่แบบนี้?”
“ไม่หรอก ฉันชินแล้ว”
ร่างสูงเลื่อนสายตาลงมามองที่โต๊ะเครื่องแป้งของฉัน บนโต๊ะเต็มไปด้วยกระปุกยามากมายหลายแขนง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีไว้รักษาโรคมะเร็ง
“คุณยังไปทำคีโมอยู่ไหม?”
เสียงเข้มสั่นนิด ๆ แคโรค่อนข้างแปลกใจที่ชายหนุ่มแสดงอาการเป็นห่วงเป็นใยสุขภาพของเธอ ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนคนคนนี้แทบไม่ถามเธอเลยซักครั้ง
“ทำไมจู่ ๆ คุณถึงห่วงสุขภาพของฉันขึ้นมาล่ะ?”
เมื่อได้บินแบบนั้น คิ้วหนาก็ขมวดมุ่นทันควัน ก่อนจะถามเสียงแข็ง “เมื่อก่อนผมไม่เคยถามคุณเลยเหรอ?”
ฉันส่ายศรีษะเป็นการย้ำ “ใช่ คุณไม่เคยทำ”
ร่างสูงเม้มปากอย่างไม่รู้ว่าจะตอบอย่างกลับอย่างไร
ก่อนจะเบนสายตามองไปอีกทาง พลางเอ่ย “ผมขอโทษ”
คำขอโทษของเขามันไม่ได้สำคัญอะไรอีกแล้วในตอนนี้ แคโรได้แต่คิดก่อนจะตอบไป “ฉันไม่เคยทำคีโม เพราะฉันกลัวว่าผมจะล่วงหมดหัว มันต้องน่าเกลียดแน่ ๆ ถ้าฉันหัวล้าน คุณก็รู้ว่าฉันชอบการแต่งตัวแต่งหน้าทำผมขนาดไหน”
ถึงจะบอกดิกสันไปแบบนั้น ทว่าเรื่องผมก็เป็นเพียงข้ออ้างที่เธอสร้างขึ้นมา
ในตอนนั้นหมอเคยพูดไว้ว่า แม้จะได้รับการผ่าตัดแล้ว มันก็เป็นแค่การยืดเวลาของฉันออกไปอีกซักระยะหนึ่ง เท่านั้น มากไปกว่านี้ การหย่าร้างกับดิกสันมันก็ทำให้ฉันเจ็บปวดมากพอแล้ว มากจนไม่อยากจะเจ็บปวดอีก...
ถ้าให้พูดสั้น ๆ ก็คือ เธอไม่รักตัวเองไม่มากพอ
“แบบนั้นคุณถึงกินแต่ยาเพื่อยับยั้งอาการเนี่ยนะ?”
ดิกสันดูเหมือนจะเป็นห่วงและกังวลต่ออาการของฉันมากกว่าที่คิด นั่นทำให้เธอเลือกจะตอบความจริง “ฉันเคยได้รับการผ่าตัดเอาเนื้องอกออกไปแล้ว แต่มันก็เป็นเพียงแค่การต่อชีวิตฉันชั่วคราว”
เสียงเข้มถามต่อ “หมอได้บอกไหมว่าอาการจะดีขึ้น?”
“อาจจะดีขึ้น หรืออาจจะไม่” ฉันตอบ
“มันอันตรายถึงชีวิตไหม?”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลและคำถามที่ดูไร้สมองนั่น ทำให้ฉันคิดว่าเขาโง่หรือเปล่าที่ถามอะไรแบบนี้ ก่อนจะถามกลับ “แล้วคุณคิดว่ามะเร็งระยะสุดท้ายอันตรายถึงชีวิตไหมล่ะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หัวใจ ฉัน เป็น ของ เธอ