หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 10

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 10 ความอ่อนโยนของพี่จิ่ว
บทที่ 10 ความอ่อนโยนของพี่จิ่ว
โดย
Ink Stone_Romance
อวี๋เฟิงยังคงยืนต่อแถวอยู่ด้านนอกเป่าจือถัง เขาไม่รู้เลยว่าอีกด้านหนึ่ง น้องสาวของเขากำลังเจอเรื่องสะเทือนขวัญอยู่ เป่าจือถังมีหมอทั้งหมดสามคน สองคนออกไปตรวจโรคข้างนอก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงต้องต่อแถวนานถึงเพียงนี้

โชคดีที่หมอคนที่ยังอยู่ที่นี่นั้นเป็นคนที่อวี๋เฟิงและอวี๋หวั่นเคยมาติดต่อเอาไว้ หมออาวุโสผู้นี้ตรวจคนไข้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และนั่นจึงทำให้แถวของคนไข้เคลื่อนตัวได้ช้า

เดิมทีอวี๋เฟิงประมาณการว่าช่วงบ่ายน่าจะได้เข้าไป ทว่าบัดนี้เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้ว

ขณะที่อวี๋เฟิงกำลังทำใจว่าจะตนคงจะต้องรอจนถึงมืดค่ำ ทันใดนั้นเองก็มีรถม้าสองคันเคลื่อนมาด้านหน้าเป่าจือถัง หมออายุประมาณสี่สิบห้าสิบสองคนเดินถือกล่องยาลงมาจากรถม้า

ทั้งสองเดินเข้าไปในเป่าจือถัง

อวี๋เฟิงนึกในใจว่า หรือว่าจะเป็นหมอที่ออกไปตรวจข้างนอก?

ไม่นานเสมียนคนหนึ่งก็เดินออกมา และตะโกนบอกกับฝูงชนว่า “เอาละๆ! มาท่างนี้ ท่านหมอจี่ไม่ตรวจแล้ว หมอจาง…อะแฮ่ม หมอจางและหมอเหลียงจะมาตรวจต่อ”

“เอ๋? หมอของเป่าจือถังมิได้แซ่หลี่และแซ่หยางรึ? หมอสองคนนี้มาจากไหนกัน?”

คนไข้ซึ่งเคยมาเป่าจือถังหลายครั้งเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

เสมียนกระแอมเล็กน้อย พร้อมกับตอบว่า “เป็นหมอใหม่ ความสามารถไม่เป็นรองหมอหลี่ หมอหยาง รวมไปถึงหมอจี่!”

“พวกข้าต้องการตรวจกับท่านหมอจี่!” คนไข้คนนั้นตั้งใจปลุกปั่นผู้คน

เสมียนผู้นั้นชักสีหน้า “เช่นนั้นเจ้าก็รอไปเถอะ! วันนี้หมอจี่ตรวจเสร็จแล้ว พรุ่งนี้ถึงจะมาใหม่! หมอจางและหมอเหลียงเดินทางมาตรวจรักษาให้พวกเจ้า หมอทั้งสองท่านบอกว่า ไม่คิดเงินค่ารักษา…”

เสมียนยังมิทันพูดจบ ผู้คนก็รุดมาต่อแถวที่โต๊ะของหมอทั้งสองท่านแล้ว!

อวี๋เฟิงกำลังจะเดินไปเช่นกัน แต่เสมียนผู้นั้นเรียกเขาเอาไว้ “หมอจี่ตรวจได้เป็นคนสุดท้าย เจ้ามาเถอะ!”

อวี๋เฟิง “…”

เขาควรพูดว่าตนเองโชคดีหรือไม่?

คนไข้ซึ่งโวยวายในตอนแรกก็เบียดฝูงชนเข้ามา “ข้าๆๆๆ! ข้าอยู่ข้างหน้าเขา!”

เสมียนทำสีหน้าเย็นชา “เจ้าหลบไป”

ในหัวของอวี๋เฟิงมิได้คิดอะไรมาก ในเมื่อเสมียนเรียกให้เขาไปพบหมอจี่ เขาจึงเดินไปพยุงบิดาลงจากรถม้า

เสมียนนำสองพ่อลูกไปยังห้องตรวจแยก หมอจี่รออยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเห็นอวี๋เฟิง ก็จดจำเขาได้ทันที “เป็นเจ้านั่นเอง พ่อหนุ่ม”

อวี๋เฟิงรู้สึกประหลาดใจ “ท่านหมอจี่จำข้าได้ด้วยหรือ?”

ใบหน้าของหมอจี่แต้มด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามากับน้องสาวใช่ไหม ข้าบอกพวกเจ้าว่าให้มาปีถัดไป ไฉนพวกเจ้ารอจนถึงตอนนี้เล่า?”

อวี๋เฟิงตอบอย่างกระดากใจ “พวกข้าควรจะมาตั้งนานแล้ว แต่ที่บ้านเกิดเรื่อง ทำให้ช้าไปสักหน่อย”

หมอจี่ชี้ไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “นั่งเถิด”

ลุงใหญ่นั่งลง

ปีนี้หมอจี่อายุหกสิบปี ผมและหนวดเคราเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา ทว่าสติสัมปชัญญะยังคงดีเยี่ยม ลุงของเขาและเจ้าของเป่าจือถังเป็นคนบ้านเดียวกัน หลังจากที่เขากลับมาจากกองทัพ เจ้าของเป่าจือถังก็เชิญเขามา

ในค่ายทหาร เขารักษาคนไข้บาดเจ็บมากที่สุด เพราะฉะนั้นจึงมีประสบการณ์ในด้านนี้มากพอสมควร

เขาเห็นท่าทางกระวนกระวายของลุงใหญ่ จึงกล่าวปลอบว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล ให้ข้าดูขาสักหน่อย”

อวี๋เฟิงนั่งยอง พับขากางเกงของลุงใหญ่ขึ้น

หมอจี่ตรวจอาการคร่าวๆ โดยใช้นิ้วผอมเคาะบนหัวเข่าและกระดูก “เจ็บหรือไม่?”

ลุงใหญ่พยักหน้า

“นอนลง ให้ข้าตรวจ” หมอจี่ชี้ไปยังเตียงในห้อง

อวี๋เฟิงพยุงลุงใหญ่ขึ้นนอนบนเตียง

หมอจี่ตรวจโดยละเอียด ทั้งถามว่าได้รับบาดเจ็บวันไหน รักษามาอย่างไรบ้าง แม้แต่ตำรับยาที่ใช้มาตลอดสองปีก็ไม่มีตกหล่น

สองปีที่ผ่านมา อวี๋เฟิงล้วนเสาะแสวงหาหมอจากทุกสารทิศ แต่หมอที่ตรวจอาการอย่างละเอียดเฉกเช่นหมอจี่นั้นหาได้ยากยิ่ง ครานี้ ในใจของอวี๋เฟิงจึงอดมีความหวังไม่ได้ “ท่านหมอจี่ ขาของพ่อข้ามีหาทางรักษาให้หายหรือไม่?”

หมอจี่ลูบเคราขาว “เมื่อครั้งข้าอยู่ในกองทัพ ก็เจอผู้ป่วยที่มาอาการคล้ายคลึงกัน ข้ารักษาไม่หาย”

อวี๋เฟิงหน้าถอดสีทันที

หมอจี่กล่าวว่า “แต่มีหมอเทวดาท่านหนึ่งซึ่งผ่านทางมารักษาหาย ข้าจำตำรับยาที่เขาใช้ในตอนนั้นได้ แล้วก็ยังจำได้ว่าเขาฝังเข็มและรมยาอย่างไร สิ่งที่ต่างกันก็คือ ระยะเวลาที่คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บนั้นสั้นกว่าพ่อเจ้าสักหน่อย พ่อเจ้าได้รับบาดเจ็บมาสองปีแล้ว กรณีของเขายังไม่ถึงหนึ่งปี”

กว่าอวี๋เฟิงจะระงับความวิตกของตนเองได้ก็แทบแย่ บัดนี้เขากลับมารู้สึกกังวลอีกครั้ง “เช่นนั้น…สรุปแล้วรักษาได้หรือไม่?”

หมอจี่กล่าวว่า “แม้ไม่อาจบอกได้ว่าจะไร้ข้อผิดพลาด แต่ก็ลองดูได้”

ลอง?

เมื่อได้ยินคำนั้น สองพ่อลูกก็มีสีหน้าสลดลงทันที หมอกี่คนต่อกี่คนก็ล้วนแต่กล่าวคำพูดเหล่านี้ พวกเขารู้สึกชาไปทั้งร่าง เพราะผลสุดท้ายก็มิได้น่ายินดีเลยแม้แต่น้อย

“เช่นนั้นก็ลองดู!”

อวี๋หวั่นเดินเข้ามาในห้อง

หมอจี่มองไปยังอวี๋หวั่น ที่จริงแล้วเหตุที่หมอจี่จำอวี๋เฟิงได้ ก็เพราะเขาจำแม่นางซึ่งอยู่ข้างกายอวี๋เฟิงคนนี้ได้ ในชีวิตนี้ เขาพบผู้คนมากหน้าหลายตา ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยพานพบสตรีที่มีบุคลิกสงบเยือกเย็นเช่นนี้ จะว่างาม ก็เรียกว่างาม ที่จดจำอวี๋หวั่นได้ก็คงเป็นเพราะ…นางดูแตกต่างกระมัง

“ท่านหมอจี่” อวี๋หวั่นเอ่ยทักทางอย่างเกรงอกเกรงใจ

หมอจี่พยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะออกใบสั่งยา”

อวี๋หวั่นพูดเสียงค่อยว่า “ท่านหมอจี่เชิญ”

หมอจี่ตวัดปลายพู่กันเขียนใบสั่งยาอย่างแม่นยำ แล้วยื่นให้สองพี่น้อง “เจ้านำไปให้คนหยิบยา”

“เท่าไหร่หรือ?” อวี๋เฟิงรับใบสั่งยามา เขารู้เพียงบางตัวอักษร ทว่าไม่มาก ดังนั้นในใบสั่งยาเขียนว่าอย่างไร เขาล้วนอ่านไม่ออก

หมอจี่กล่าวว่า “หนึ่งร้อยตำลึง”

กล่าวจบก็ก้มหน้าเขียนใบสั่งยาต่อ

อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว กล่าวว่า “อะไรนะ? หนึ่งร้อยตำลึง? ไฉนจึงแพงเช่นนั้นเล่า?”

หมอจี่อธิบาย “ในนั้นมีบัวหิมะเทียนซานกับโสมสองร้อยปีอีกหนึ่งกิ่ง”

อวี๋เฟิงฟังไม่รู้เรื่องว่าบัวหิมะไม่หิมะอะไร เขารู้เพียงว่าราคานั้นแพงเกินไป “ท่านหมอ ท่านไม่ได้โกงพวกเราหรอกกระมัง?”

หมอจี่แค่นหัวเราะ “หากเจ้าไม่เชื่อ ก็เอาใบสั่งยานี่ไปร้านอื่นก็ได้ เป่าจือถังเปิดมานาน ไม่ทำเรื่องเจ้าเล่ห์พรรค์นั้นหรอก”

“แต่ว่า…”

อวี๋เฟิงอยากจะพูดต่อ แต่อวี๋หวั่นดึงแขนของเขาเอาไว้ “พี่ใหญ่ หนึ่งร้อยตำลึงข้าจ่ายได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]