จวินฉางอันเดินตรงมาหาอวี๋หวั่น
อวี๋หวันยืนนิ่งไม่ไหวติง
ทว่าจื่อซูซึ่งยืนอยู่ด้านข้างกลับถูกท่าทางของจวินฉางอันทำให้ตื่นกลัว แต่เมื่อเขาเดินเข้ามาห่างจากอวี๋หวั่นประมาณสองสามก้าว ร่างของเจียงไห่ก็พุ่งเข้ามา
เจียงไห่มิได้สนใจว่าจวินฉางอันเป็นมิตรหรือศัตรู เขาพุ่งเข้าไปต่อยโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
จวินฉางอันได้สนทนากับอวี๋หวั่นหลายครั้ง เขาไม่เคยคาดคิดว่าข้างกายของเธอจะมียอดฝีมือ หากไม่ทันระวังก็คงจะถูกหมัดของเขาเล่นงานเข้าแล้ว โชคดีที่เจียงไห่กังวลว่าหมัดของตนจะทำให้อวี๋หวั่นได้รับบาดเจ็บ จึงไม่ได้ใช้แรงเต็มที่ จวินฉางอันเตะเท้าเพียงเล็กน้อย กระโดดถอยไปด้านหลัง
จวินฉางอันมองไปยังบุรุษแปลกหน้าที่จงใจโจมตีเขา บุรุษผู้นี้สวมชุดสารถีรถม้าของจวนคุณชายเยี่ยน แต่เขาไม่ยักเหมือนกับสารถี
“เจ้าเป็นใคร?” จวินฉางอันขมวดคิ้ว
อวี๋หวั่นก้าวไปข้างหน้า แล้วพูดกับจวินฉางอันด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถามชื่อของสารถีรถม้าข้าไปทำไมกัน? จะแย่งคนของข้าหรือ?”
จวินฉางอันมองไปยังเจียงไห่ด้วยสีหน้าซับซ้อน จากนั้นก็มองอวี๋หวั่น ไม่ได้ซักไซ้เรื่องของเจียงไห่ต่อ แล้วกลับเข้าประเด็น “องค์ชายรองมีเรื่องต้องการปรึกษา จะขอพูดคุยกับแม่นางอวี๋สักหน่อยได้หรือไม่?”
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ข้าแต่งงานแล้ว ไม่อาจใช้คำว่าแม่นางอวี๋ได้”
จวินฉางอันเหลือบไปมองรถม้าด้านข้างเล็กน้อย เหตุผลข้อนี้เขาเข้าใจดี แต่เห็นได้ชัดว่าอวี๋หวั่นไม่ได้พูดให้เขาฟัง ไม่รู้ว่าองค์ชายรองซึ่งยืนกรานให้เขาเรียกนางว่าแม่นางอวี๋แต่กลับถูกแดกดันกลับมา บัดนี้จะรู้สึกอย่างไรบ้าง
อวี๋หวั่นบอกกับจื่อซูว่า “เจ้าไปรอข้าบนรถม้า”
“เจ้าค่ะ” จื่อซูตอบรับ
จื่อซูเคยเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ นางรู้งานมากกว่าสาวใช้ทั่วไป กระนั้นเรื่องการใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างสตรีและบุรุษนั้นย่อมเคร่งครัดมากกว่าเช่นกัน เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่นางสามารถปรับตัวได้ในระยะเวลาอันสั้น
แม้ว่าจื่อซูจะขึ้นรถม้าไปแล้ว แต่เจียงไห่กลับคอยอารักขาอวี๋หวั่นทุกฝีก้าว
เจียงไห่จ้องจวินฉางอันเขม็ง ราวกับว่าหากเขาล้ำเส้นเพียงนิดเดียว ตนก็จะอัดเขาให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้างหนึ่ง
จวินฉางอันนึกสงสัย จวนคุณชายเยี่ยนมียอดฝีมือเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? เป็นหน่วยกล้าตาย? หรือเป็นองครักษ์เงา? แต่ทำไมมาเป็นสารถีรถม้าได้เล่า?
แม้จวินฉางอันและอิ่งสือซันมักจะบังคับรถม้าให้เจ้านายอยู่เนืองนิจ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางสวมชุดของสารถี เพราะฉะนั้นบุรุษผู้นี้เป็นใครกัน?
“องค์ชายรองมีอะไรก็รีบพูดเถิด หากไม่มีอะไร ข้าจะได้ไป” อวี๋หวั่นจะรีบไปต้มน้ำแกงบำรุงกำลังให้เยี่ยนจิ่วเฉา ไม่มีเวลามาเสวนากับเยี่ยนไหวจิ่ง
เยี่ยนไหวจิ่งลงจากรถม้า
เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แต่เขาก็มิได้มองเจียงไห่ สายตาของเขามิได้ละไปจากอวี๋หวั่น ทันทีที่เขาเห็นรอยแดงใต้คอเสื้อของอวี๋หวั่นโดยมิได้ตั้งใจ สีหน้าของเขาก็ถมึงทึงขึ้นทันที
ไม่นานเขาก็เบนสายตาออกไป มองใบหน้าของอวี๋หวั่น ใบหน้าของนางก็ยังคงเป็นใบหน้าเดิม เพียงแต่ความเป็นดรุณีน้อยได้จางไป กลับมีรอยแดงเพิ่มเข้ามา เยี่ยนไหวจิ่งกำหมัดดัง ‘กร็อบ’
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “องค์ชายรอง ข้ามีสามีแล้ว ท่านก็มีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ท่านยังคงมองข้าเช่นนี้เหมาะสมหรือ? หากใครรู้เข้าข้าเองไม่กลัวหรอก แต่องค์ชายรองไม่กังวลว่าคุณหนูหานจะไม่สบายใจหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาพยายามกดอารมณ์เอาไว้ “นางไปหาเจ้า?”
นี่ไม่ใช่น้ำเสียงปกติ
เรื่องที่เขาไม่ได้ถาม อวี๋หวั่นก็ไม่อาจเอ่ยปากบอก แต่เขาพูดออกมาเช่นนี้ อวี๋หวั่นก็ไม่อาจโกหก
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ใช่ ว่าที่ภรรยาขององค์ชายรองมาหาข้า ดังนั้นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด องค์ชายรองเข้าประเด็นเถิด”
“ที่นี่ไม่เหมาะสมแก่การพูดคุย” เยี่ยนไหวจิ่งมองไปรอบๆ
อวี๋หวั่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เห็นทีองค์ชายคงจะมีเรื่องให้พูดเยอะ เช่นนั้นต้องขออภัยด้วย ข้าไม่มีเวลา” ไม่ใช่สามีของเธอ จะมาให้เธอขึ้นไปหาที่สงบๆ สนทนาหรือ?
อวี๋หวั่นค่อยๆ เดินไปขึ้นรถม้าของตน
เยี่ยนไหวจิ่งโทสะพลุ่งพล่าน เมื่อเช้านี้ถูกเยี่ยนจิ่วเฉากลั่นแกล้งเรื่องไข่ไก่สีแดงก็มากพอที่จะทำให้เขาโมโหแล้ว บัดนี้ยังต้องถูกอวี๋หวั่นหมางเมินอีก…
“พบตัวโจวไหวแล้ว!”
เยี่ยนไหวจิ่งมองตามหลังของอวี๋หวั่นซึ่งคล้ายกับกำลังจะเดินขึ้นรถม้าไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]