หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 151

เมื่อไป๋ถังตื่นขึ้นมาก็พบว่ามือขวาของนางกำท่อนไม้และนอนอยู่บนเตียงแปลกๆ นางมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่ใช่ความฝันจึงรีบลุกขึ้นนั่ง เห็นว่าเสื้อผ้ายังคงสภาพสมบูรณ์ และไม่มีอะไรผิดปกติกับร่างกายของนาง ก็พลันรู้สึกโล่งใจ

นางจำได้ว่าทำให้เจ้าสารเลวนั่นสลบไปแล้ว จากนั้นจึงคิดจะไปเรียกผู้ใดบางคน ทว่าในชั่วพริบตานางกลับมานอนอยู่บนเตียงนี้ หรือเพราะสุราออกฤทธิ์ทำให้นางสลบไป?

ไป๋ถังมองท่อนไม้ในมือ พลันสงสัยว่านางมีสิ่งนี้อยู่ในมือได้อย่างไร?

ไป๋ถังกุมศีรษะที่มึนงงลงจากเตียง เมื่อเดินอ้อมฉากกั้นไปก็ต้องสะดุ้งตัวโยน ไยจึงมีคนมานอนอยู่ที่พื้น?

ไม่แปลกที่ไป๋ถังจำเขาไม่ได้ แท้จริงแล้วเห้อเหลียนฉีถูกทำร้ายอย่างหนัก กระทั่งบิดามารดาก็จำเขาไม่ได้อีกต่อไป นับประสาอะไรกับไป๋ถังที่พบเขาเพียงครั้งเดียว?

ทว่าเมื่อไป๋ถังมองเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ และเหตุการณ์ก่อนที่นางจะ ‘เมาสลบ’ ไป ก็เดาได้ไม่ยากว่า นี่คือชายชาติชั่วที่หมายจะรุกล้ำตน

แปลกจริง ผู้ใดทุบตีเขาแบบนี้?

ไป๋ถังมองไปที่ท่อนไม้ในมือ

เอ่อ…คงไม่ใช่นางหรอกกระมัง? หรือว่านางเมาสุราจนไม่มีสติและลงมือทุบตีชายชาติชั่วนี่?

ไป๋ถังกระแอมไอเล็กน้อย พลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจราวกับนางทำเรื่องนี้ด้วยตนเอง อันที่จริงนางก็กล้าหาญมากจริงหรือไม่?

ไป๋ถังนั่งยองๆ ใช้ไม้ดันศีรษะเขา “เหอะ ยามนี้เจ้าคงรู้แล้วว่าข้าเก่งกาจเพียงใด เจ้าคงไม่กล้าคิดร้ายกับข้าอีกกระมัง?”

ในเมื่อได้สั่งสอนคนแล้ว ไป๋ถังก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ นางไม่เคยคิดที่จะแจ้งทางการ เพราะเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น สิ่งที่จะเสียหายก็คือชื่อเสียงของครอบครัวฝ่ายหญิง นางไม่อยากให้ตนเองต้องโมโหหากชายผู้นี้ไม่ได้ติดคุก

อีกอย่างเขาก็ถูกนางสั่งสอนอย่างน่าเวทนาจนไม่อาจทนดูได้แล้ว ปมปัญหาในใจของไป๋ถังได้ถูกคลายจนหมดสิ้น ไป๋ถังเดินลงไปชั้นล่างอย่างอารมณ์ดี

ธุรกิจหอจุ้ยเซียนดีมากเกินไป งานยุ่งจนไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ ดังนั้นแม้ว่าผู้จัดการจะรู้ว่าไป๋ถังอยู่ชั้นบน เขาก็คิดเพียงว่านางอยู่ในห้องบัญชีของอวี๋หวั่น ไม่ได้สงสัยว่านางเข้าไปในห้องเดียวกันกับชายแปลกหน้า

หอจุ้ยเซียนมีบันไดอยู่สองแห่ง อยู่ห่างจากโถงกลาง ตรงหัวมุมด้านหลังห้องบัญชีจะนำไปสู่ลานด้านหลังได้โดยตรง เดิมทีนางก็ไม่รู้ ทว่ามีบุรุษสองสามคนบอกนาง ไป๋ถังเดินลัดเลาะไปที่ลานด้านหลัง โชคดีที่เด็กๆ ยังอยู่ที่นั่นครบทุกคน พวกเขานั่งยองๆ แหย่มดอย่างมีความสุข ส่วนสารถีรถม้าที่คอยดูแลพวกเขาไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด ไป๋ถังไม่ได้สนใจสารถีรถม้า นางสนใจแค่เด็กๆ

นางเป็นคนพาพวกเขาออกมา หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา นางจะอธิบายกับอวี๋หวั่นอย่างไร?

ไป๋ถังเดินเข้าไปหาและใช้สายตากวาดมองขึ้นลง “พวกเจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?”

ทั้งสามมองนางอย่างงวยงง

ดูแล้วน่าจะไม่เป็นอะไร ไป๋ถังลอบถอนหายใจ เกรงจะทำให้เด็กน้อยตกใจ ไป๋ถังจึงไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดมากนัก

ขณะนั้นจื่อซูและเจียงไห่กลับมาหลังจากซื้อถังหูลู่และขนมพอดี

เด็กน้อยทั้งสามหยิบถังหูลู่คนละไม้และแทะกินอย่างเอร็ดอร่อย

เมื่อเห็นพวกเขากินอย่างไม่สนสิ่งใด หัวใจของไป๋ถังก็พลันสงบลง

เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แม้ไป๋ถังพยายามปกปิด ทว่าหลังจากกลับไปที่จวนคุณชาย ไป๋ถังก็ยังบอกอวี๋หวั่นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไป๋ถังไม่รู้ว่าชายชาติชั่วนั่นเป็นผู้ใด ทราบเพียงเป็นคนต่างถิ่น โดยเดาไม่ออกแม้แต่น้อยว่าเป็นคนต่างประเทศ

อวี๋หวั่นยังไม่รู้ว่าเป็นแม่ทัพเวยหย่วน ทว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เพียงแค่กล้าบังคับขืนใจหญิงชาวบ้านกลางวันแสกๆ ก็ถือว่าทำเกินไปแล้ว

“โชคดีที่ท่านมีไหวพริบ” อวี๋หวั่นกล่าว

“เจ้าไม่โทษข้ารึ ข้าเกือบจะทำให้…” ไป๋ถังจ้องมองเด็กชายตัวอ้วนสามคนที่กำลังเลียถังหูลู่

“ข้าจะโทษท่านได้อย่างไร?” อวี๋หวั่นรู้สึกว่าไป๋ถังโทษตนเองมากเกินไป เรื่องแบบนี้เป็นเพียงอุบัติเหตุ หากตำหนินาง จะไม่เป็นการหยุดกินอาหารเพราะสำลัก[1]หรือ?

ไป๋ถังมองอวี๋หวั่นเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้กล่าวตามมารยาท ไป๋ถังยิ่งรู้สึกว่าอวี๋หวั่นไม่ใช่สตรีธรรมดา หากเรื่องนี้เปลี่ยนเป็นนาง เกรงว่าคงไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้ แน่นอนว่าวิสัยทัศน์และจิตใจของคนคือสิ่งที่ทำให้คนสูงส่งอย่างแท้จริง

อวี๋หวั่นแย้มยิ้ม “มื้อเย็นจะทำขาแพะย่างเพื่อปลอบขวัญท่าน!”

ไป๋ถังตบหน้าอกเล็กๆ ของนางแล้วเอ่ยว่า “ปลอบขวัญข้าเรื่องอันใด? เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าทำให้บุตรเจ้าเป็นเช่นไร? หากจะปลอบ ก็ควรจะปลอบขวัญพวกเขาจึงจะถูก!”

อวี๋หวั่นขำขันนางยิ่งนัก เรื่องนี้นับว่าสงบลงอย่างสมบูรณ์ ทว่าอีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง สถานการณ์ของเห้อเหลียนฉีมิได้น่าขำขันเช่นไป๋ถัง

ร่างของเห้อเหลียนฉีถูกพบโดยพนักงานชายของหอจุ้ยเซียน เดิมทีพนักงานชายผู้นี้หมายจะมาบอกให้เห้อเหลียนฉีชำระเงิน ทว่าไหนเลยจะรู้ว่าเห้อเหลียนฉีถูกผู้ใดบางคนทำร้าย พนักงานชายรีบไปแจ้งทางการ หลังคนจากทางการมาถึงก็พบสารถีรถม้าที่สลบอยู่ในโรงเก็บไม้ และได้นำตัวสารถีและเห้อเหลียนฉีไปที่จวนจิงจ้าว จิงจ้าวอิ่นจำเห้อเหลียนฉีได้ จึงแจ้งให้ทูตแห่งหนานจ้าวทราบในทันที

ในงานเลี้ยงงานแต่งงาน เห้อเหลียนฉีทำทุกวิถีทางให้เซียวเจิ้นถิงอับอาย ในยามนี้ถูกคนทำร้ายจนเป็นหัวหมู จิงจ้าวอิ่นไม่อยากเอ่ยว่าสาแก่ใจเพียงใด ทว่าก็ยังต้องพยายามรักษาหน้าของเขาให้ดีที่สุด “…ท่านทั้งหลายโปรดวางใจ ข้าจะสอบสวนคดีนี้อย่างละเอียด และพยายามตามตัวคนร้ายมาให้เร็วที่สุด!”

ตามกับผีน่ะสิ!

คนร้ายคือวีรบุรุษของชาติที่แท้จริง!

จิงจ้าวอิ่นสงสัยว่าหากมิใช่คนบ้าก็คงเป็นเซียวเจิ้นถิง แต่เขาก็ไม่มีหลักฐาน

ทว่ามิใช่เรื่องสำคัญอันใด สิ่งสำคัญที่สุดคือสะใจยิ่งนัก!

ชาวหนานจ้าวก็เข้าใจดีว่าศาลาว่าการต้าโจวไม่มีทางให้ความเป็นธรรมกับเห้อเหลียนฉี พวกเขาอยู่ในศาลาว่าการไม่นานนัก ก็ให้คนพาพวกเขากลับไปที่ที่พำนักชั่วคราว

คณะของหนานจ้าวที่เดินทางมา มีหมอหลวงผู้มากฝีมืออยู่ด้วย เมื่อหมอหลวงผู้นั้นได้จับชีพจรของเห้อเหลียนฉี ก็พบว่าเขาไม่ได้ถูกยาพิษธรรมดา ทว่าคล้ายกับพิษกู่ หมอที่จงหยวนไม่ถนัดเรื่องนี้ ศาสตร์พิษกู่ของหนานเจียงเป็นสิ่งต้องห้าม บรรดาหมอจีนก็อ่านผ่านตามาบ้าง ทว่าพิษกู่ในร่างกายของเห้อเหลียนฉีนั้นแข็งแกร่งมาก ยากที่หมอหลวงจะรักษาได้ จำต้องเชิญราชครูมา

ราชครูจับชีพจรเห้อเหลียนฉี “มันคือราชันสัตว์พิษ”

ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ

แม่ทัพเวยหย่วนถูกคนทำร้าย คนร้ายก็ย่อมเป็นคนจงหยวน เช่นนั้นราชันสัตว์พิษจะมาจากที่ใด?

เมื่อราชครูจับชีพจรของสารถี ก็พบว่าเขาถูกราชันสัตว์พิษเช่นกัน

ทุกคนยิ่งตกตะลึง ราชันสัตว์พิษตัวเดียวไม่พอ ยังมาถึงสองตัว? จงหยวนมียอดฝีมือเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด? หรือคนร้ายที่ทำร้ายแม่ทัพเวยหย่วนเป็นปรมาจารย์พิษ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]