ครั้งสุดท้ายที่อวี๋หวั่นจากไป เธอเคยเอ่ยกับชายชราว่า ผู้ที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในหมู่บ้านเหลียนฮวา และสตรีก็สามารถเข้าเรียนได้เช่นกัน คนในหมู่บ้านเหลียนฮวาได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการเข้าเรียน หากเป็นคนจากหมู่บ้านอื่นต้องจ่ายเงิน ส่วนจะได้มากน้อยอย่างไรอวี๋หวั่นไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
ในชนเผ่า บทเรียนของมหาปุโรหิตนั้นหาเงินได้ยาก เมื่อมาถึงสมัยต้าโจวชายชราไม่ได้คาดหวังเงินทองมากมาย ทว่าเงินร้อยกว่าตำลึงก็ควรจะมีติดไว้เสมอ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่เหมาะสมกับสถานะของมหาปุโรหิต ชายชราคิดว่าเก็บในราคาที่ถูกเช่นนี้ โต๊ะคงมีไม่พอใช้เป็นแน่ เขาจึงควักเงินจากกระเป๋าตนเองซื้อมาถึงสามสิบตัว ผลก็คือผ่านไปหลายวันก็ไม่มีวี่แววของคนนอกหมู่บ้านที่จะจ่ายเงินมาเรียนสักคน…
อวี๋หวั่นพบกับนางเจียงในห้องโถง นางเจียงดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เพราะหลังจากย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังข้างๆ เถี่ยตั้นน้อยก็ไม่ต้องนอนเบียดเตียงกับพวกเขาอีกต่อไป
เถี่ยตั้นน้อยไปเรียกหาบิดาที่โรงงาน เมื่อได้ยินว่าบุตรสาวของเขากลับมา อวี๋เซ่าชิงก็ไม่ทำสิ่งใดอีก เขาโยนงานทั้งหมดในมือทิ้งทันที และรีบร้อนวิ่งกลับไป “อาหวั่น!”
เมื่อสิ้นสุดเสียง เขาก็เห็นเด็กอ้วนสามคน แล้วทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็หม่นหมองลง
เหตุใดถึงเป็นเจ้าตัวเล็กพวกนี้อีกแล้ว!
เจ้าตัวเล็กนั่งอยู่บนตัวของนางเจียง และมองเขาด้วยใบหน้าที่น่ารัก ศีรษะเล็กถูไปมาในอ้อมแขนของนางเจียง
ใบหน้าของอวี๋เซ่าชิงดำมืด
“ท่านพ่อ” อวี๋หวั่นกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นมองไปที่เด็กอ้วนทั้งสามพลางเอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่ได้เอาของขวัญมาหรอกหรือ? รีบไปหยิบมาสิ”
เด็กอ้วนทั้งสามจึงนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาก็เป็นคนที่มีของขวัญเช่นกัน พวกเขาไถลตัวลงมาที่พื้น และเดินไปหยิบของขวัญที่รถม้า มันคือผลท้อสีแดงผลใหญ่สามลูก
อวี๋เซ่าชิงลอบถอนหายใจ เอาละ อย่างน้อยเจ้าตัวเล็กก็ยังรู้จักมอบของขวัญให้แก่เขา…
ยังไม่ทันจะคิดจบ ก็เห็นเด็กอ้วนทั้งสามถือ ‘ผลท้อลูกใหญ่’ วิ่งเตาะแตะออกไป!
…ไปหาอาเว่ย
ท่านตาอวี๋ที่ถูกทิ่มแทงใจเป็นหมื่นครั้ง “…”
ไม่นาน ป้าสะใภ้ใหญ่ก็มาหา ลุงใหญ่กับอวี๋เฟิงก็อยากมา ทว่าน่าเสียดายที่อวี๋เซ่าชิงชิงทิ้งงานก่อนไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่สามารถหนีไปไหนได้ ต้องอยู่รับสมัครคนงานที่โรงงานต่อไป
“เหตุใดเจ้าจึงกลับมาวันนี้? ไม่ใช่งานเลี้ยงกลางเดือนหรือ?” ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยพร้อมกับจับมืออวี๋หวั่น ไม่ใช่ว่านางไม่อยากเจออวี๋หวั่น ทว่าสตรีที่แต่งงานแล้ววิ่งกลับมาบ้านมารดาบ่อยครั้งเกินไปอาจถูกผู้คนนินทาได้
อวี๋หวั่นหาได้คิดใส่ใจเรื่องนี้ เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่ใส่ใจยิ่งกว่า การกลับมาบ้านมารดา อวี๋หวั่นไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย อวี๋หวั่นเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อยๆ “กลางเดือนก็จะกลับมาเช่นกัน ที่ข้ามาในวันนี้เพื่อมาแจ้งข่าวดี”
“เจ้ามีแล้วหรือ?” ผู้ใหญ่ทั้งสามเอ่ยประสานเสียงกัน
มุมปากของอวี๋หวั่นกระตุก ไยพวกท่านถึงคิดเองเออเองเสร็จสรรพเช่นนี้…
“ข้าไม่มี” อวี๋หวั่นกล่าว
ป้าสะใภ้ใหญ่ตบมือของเธอเบาๆ “ไม่เป็นไร แต่งงานมาได้แค่หนึ่งเดือน ไม่มีก็เป็นเรื่องปกติ”
และไม่ใช่ว่าเธอไม่มีบุตรจนต้องรีบให้กำเนิดเพื่อเป็นทายาทสืบสกุล สถานการณ์ของหลานสาวตอนนี้ ไม่ว่าจะให้กำเนิดหรือไม่ก็หาได้มีผู้ใดกล้านินทา เธอมีบุตรชายถึงสามคน ผู้ใดจะโชคดีเช่นเธอ?
ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ได้กังวลเรื่องทายาทของอวี๋หวั่น ทว่านางเกรงว่าอวี๋หวั่นจะกังวลเกี่ยวกับตนเอง “ข้าคิดว่า รอให้พี่ชายทั้งสามอายุมากขึ้นแล้วค่อยมีก็ยังไม่สาย”
เรื่องบุตรอวี๋หวั่นปล่อยให้เป็นไปตามวาสนา หาได้กังวลใดๆ
อวี๋เซ่าชิงที่อยู่ด้านข้างมีแววตาของความขุ่นเคืองเล็กน้อย เขาอยากได้หลานสาวตัวน้อย หลานสาวที่น่ารักเหมือนอาหวั่น หลานสาวตัวน้อยที่จะไม่ทำให้เขาเจ็บปวด
ป้าสะใภ้ใหญ่เหลือบมองท้องของอวี๋หวั่น “หากไม่ใช่ข่าวดีเรื่องนี้ เช่นนั้นเป็นข่าวดีเรื่องใดหรือ?”
“เรื่องของพี่รอง” อวี๋หวั่นยิ้มและบอกครอบครัวเรื่องการสอบได้อันดับหกของอวี๋ซง
เมื่อป้าสะใภ้ใหญ่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจหุบปากไม่ลง “เจ้า…เจ้าคงไม่ได้ฟังผิดหรอกกระมัง?”
นางไม่ได้สงสัยว่าอาหวั่นจะเอาคะแนนปลอมมาหลอกนาง อาหวั่นไม่ใช่คนแบบนั้น ทว่านางแค่ไม่อยากเชื่อว่า บุตรชายที่ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อนผู้นั้นจะสอบได้คะแนนดีถึงเพียงนี้ภายในหนึ่งเดือน?
“คงไม่…ไม่ใช่ว่าในห้องมีแค่หกคนหรอกกระมัง…”
ป้าสะใภ้ใหญ่กล่าวอย่างไม่มั่นใจ
อวี๋หวั่นหัวเราะฮ่าๆ!
นี่ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่ไว้ใจบุตรชายของนางเพียงใดกัน? ถึงได้คิดว่าพี่รองจะสอบได้เป็นลำดับสุดท้าย
ป้าสะใภ้ใหญ่ก็รู้ว่าตนกำลังสับสน พลันกระแอมไออย่างทำอะไรไม่ถูก “หะ เหตุใดข้ารู้สึกว่ามีรางวัลร่วงลงมาจากฟากฟ้า?”
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้ม พลางบอกเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ทราบมาจากสำนักบัณฑิตให้ป้าสะใภ้ใหญ่รับรู้ตามความเป็นจริง “ในชั้นเรียนมีเจี้ยนเซิงสามสิบสามคน พี่รองมาเข้าเรียนช้าที่สุด ทว่าพี่รองขยันที่สุด ข้าได้ยินมาว่าพี่รองเป็นคนที่ตื่นเช้าที่สุดและนอนดึกที่สุดในห้อง อ่านหนังสืออย่างหนักทุกคืนจนถึงยามสามและก็ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง “
“ดึก ดึกเพียงนี้เลย…” ป้าสะใภ้ใหญ่เริ่มรู้สึกสงสารบุตรชายของตน ก่อนนี้นางเคยรู้สึกว่าการทำนาทำไร่ยากลำบาก มายามนี้เมื่อได้ยินสิ่งที่อวี๋หวั่นกล่าว นางก็รู้สึกว่าการเรียนไม่ใช่เรื่องง่าย แม้การทำนาจะยากทว่าก็ยังมีจุดที่เพียงพอ แต่การเรียนหนังสือทำให้นอนน้อยกว่าไก่อีกหรือ?
ทันใดนั้นป้าสะใภ้ใหญ่ก็นึกถึงจ้าวเหิง มิน่าจ้าวเหิงถึงได้ดูซูบผอมยิ่งนัก ที่แท้ก็เป็นเพราะเขาเรียนหนังสือนี่เอง…
“เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะไปเก็บไข่มา…” ป้าสะใภ้ใหญ่จะรู้ได้อย่างไรว่าการเรียนหนักหนาถึงเพียงนี้? นางแอบก่นด่าตนเองที่ไม่มีความรู้ ไม่รู้จักบำรุงส่งเสริมร่างกายของบุตรชายให้มาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]