เมิ่งอี๋เหนียงเข้ามาอยู่ที่จวนสกุลเซียวเมื่อสิบห้าปีก่อน นางเป็นบุตรีของตระกูลที่มีเกียรติ ทว่าครอบครัวไม่อาจหาการแต่งงานที่เหมาะสมกับนางได้ ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ร่ำรวยไม่ชอบนาง ส่วนตระกูลคนสามัญธรรมดานางก็ไม่ชอบ ไปๆ มาๆ อายุก็ล่วงเลยผ่านวัย สมัยราชวงศ์ต้าโจวสตรีแต่งงานช้ากว่าสมัยราชวงศ์ก่อน ทว่าสตรีที่อายุมากกว่าสิบเจ็ดที่ยังไม่ได้แต่งงานมีไม่มากนัก นางจึงเริ่มกังวลเรื่องการแต่งงานมากขึ้นเรื่อยๆ มารดาของนางจึงพาไปเสี่ยงสัตย์อธิษฐานขอการแต่งงาน และนางก็จับได้คำทำนายที่ดี นางดีใจมาก คิดว่าเรื่องการแต่งงานต้องลงเอยด้วยดี และความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น ระหว่างทางกลับบ้านนางถูกหัวขโมยดักปล้น แต่ก็ถูกองครักษ์ตระกูลเซียวที่ผ่านมาช่วยเหลือไว้
ถึงวันนี้นางก็ยังจำบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ ดูราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมตะครุบเหยื่อผู้นั้นได้ แค่นางมองเขาจากระยะไกลก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว บุรุษผู้นี้น่ากลัวกว่าหัวขโมยหลายเท่า หากได้เขาเป็นคู่ครองก็คงสามารถป้องกันนางได้เป็นอย่างดี
ทว่าท้ายที่สุดบุรุษผู้นั้นไม่แม้แต่ชายตาแลนางตรงๆ กลับเป็นคุณชายร่างกายผอมเพรียวดูสง่างามผู้หนึ่งที่เดินลงมาจากรถม้าข้างๆ คุณชายผู้นั้นถามนางว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ต้องการหมอหรือไม่ ภาพนางน้ำตาไหลอาบแก้มตกอยู่ในสายตาของคุณชายผู้นั้น ในดวงตาของเขาพลันฉายแววประหลาดที่ไม่อาจเก็บซ่อนได้
เมิ่งอี๋เหนียงได้รู้ในภายหลังว่าบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นคือเซียวเจิ้นถิง แม่ทัพใหญ่เซียวผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และเขาก็ยังไม่ได้แต่งงาน ส่วนบุรุษผอมเพรียวสง่างามผู้นั้นเป็นพี่ชายคนโตของเซียวเจิ้นถิง เขาแต่งงานมีภรรยาไปแล้ว
เมิ่งอี๋เหนียงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เห็นอยู่ว่าองครักษ์ของเซียวเจิ้นถิงเป็นคนช่วยนาง แล้วเหตุใดคนที่ถูกใจนางจึงไม่ใช่เซียวเจิ้นถิง
ถ้าหากนางได้แต่งงานกับเซียวเจิ้นถิง นางก็คงได้เป็นฮูหยินเซียวจริงๆ จังๆ ไปแล้ว ทว่าน่าเสียดายที่ในโลกนี้ไม่มี ‘ถ้าหาก’ เกิดขึ้นจริง ไม่กี่วันต่อมา มามาของสกุลเซียวก็มาที่บ้านตามคำสั่งของนายท่านใหญ่เซียว และถามนางว่าจะยินยอมแต่งเข้าจวนเป็นอี๋เหนียงหรือไม่
หากเทียบกับแต่งงานเป็นภรรยาบ้านๆ ของตระกูลสามัญชนตัวเล็กๆ แน่นอนว่านางเต็มใจเข้าไปนอนบนกองเงินกองทองและยศทรัพย์อำนาจที่ไม่มีสิ้นสุดของจวนสกุลเซียวมากกว่า ทว่านางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าทายาทสกุลเซียวไม่ใช่นายท่านของนาง ความสง่างามนั้นก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก นายท่านใหญ่เซียวมีนิสัยเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่ได้เอ่ยถึงทำการใดก็ไม่สำเร็จ แต่ยังสร้างปัญหาให้กับสกุลเซียวไม่เว้นแต่ละวัน ทว่าอย่างไรเสียนางก็มาแล้ว คิดถอนตัวตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว
โชคดีที่เซียวเจิ้นถิงมีนิสัยให้อภัยคน ไม่ว่าพี่ชายจะเละเทะอย่างไร ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะแยกพี่น้องออกจากครอบครัว นางคิดว่าขอเพียงนางให้กำเนิดบุตรชายมากๆ บุตรสาวน้อยๆ กับนายท่าน ต่อไปนางคงไม่ต้องกังวลกับชีวิตในสกุลเซียวอีก ทว่านางกลับไม่มีโชคถึงเพียงนั้น หลังจากให้กำเนิดเซียวจื่อหลิน นางก็ไม่เคยตั้งครรภ์อีกเลย
เซียวจื่อหลินเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของนาง นางทุ่มเทใจทั้งหมดให้กับบุตรสาวคนนี้ ทว่าหลังเกิดปัญหาที่จวนเฉิงอ๋อง ฮูหยินใหญ่ก็ใช้กฎครอบครัวลงโทษ ตีมือบุตรสาวของนางจนบวม และยังให้บุตรสาวของนางคุกเข่าต่อหน้าศาลบรรพบุรุษอันหนาวเหน็บ บุตรสาวของนางตกใจกลัวจนป่วยหนัก กระทั่งวันนี้อาการจึงค่อยๆ ดีขึ้น
เมิ่งอี๋เหนียงเกลียดฮูหยินใหญ่ที่โหดเหี้ยม และเกลียดอวี๋หวั่นที่แสนเจ้าเล่ห์ แต่นางเคยสัมผัสกับกลเม็ดของฮูหยินใหญ่ จึงไม่มีความกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับฮูหยินใหญ่ ทว่าอวี๋หวั่นที่ยังดูเยาว์วัย ได้ยินมาว่าเพราะปีนขึ้นเตียงถึงได้แต่งเข้าจวนคุณชาย ไม่ว่าจะมองอย่างไรดรุณีผู้นี้ก็ดูดีแต่เปลือกนอกเท่านั้น อีกไม่นานนางจะจัดการให้ได้ลิ้มรสชะตากรรมของการกลั่นแกล้งบุตรสาวของนางอย่างงาม!
อวี๋หวั่น เซียวจื่อเยว่และคนอื่นๆ เดินเข้าไปใต้ซุ้มองุ่น องุ่นสดพวงใหญ่ห้อยอยู่ใต้กิ่งใบสีเขียว องุ่นเหล่านี้กระจุกอยู่ตามทางเดินไม้ที่อากาศถ่ายเทและเงียบสงบ เมื่อคนรับใช้รู้ว่าพวกนางจะมา ก็ได้จัดเตรียมบันไดและเก้าอี้ไม้ตัวเล็กไว้พร้อมแล้ว
พระชายาเฉิงอ๋องมีวรยุทธ์ ไหนเลยจำเป็นต้องใช้ของเหล่านี้? เพียงนางเหวี่ยงแส้ไป พวงองุ่นก็ตกถึงมือแล้ว
“โห!” พี่น้องสตรีต่างอ้าปากค้างด้วยความอิจฉา
พระชายาเฉิงอ๋องมีความสุขออกหน้าออกตา ใช้แส้เก็บองุ่นมาอีกสองสามพวงจนทุกคนต้องอิจฉา
“พวกเราก็ไปเก็บกันเถิด” เซียวจื่อเยว่กล่าว
ซุ้มองุ่นไม่ได้สูงนัก รูปร่างอย่างฝูหลิงแค่เอื้อมมือเก็บก็ถึง สตรีที่มีความสูงปกติใช้แค่เครื่องมือเล็กๆ น้อยๆ บันไดมีคนรับใช้ช่วยพยุง ทว่าก็ยังมีสตรีที่ไม่กล้าขึ้นไป จึงทำเพียงยืนอยู่บนเก้าอี้ไม้เล็กๆ เท่านั้น
เซียวจื่อเยว่ขี้กลัวมาก เดิมทีนางหมายจะยืนเก็บองุ่นบนเก้าอี้เท่านั้น ทว่าเมื่อเห็นอวี๋หวั่นยืนอยู่บนบันไดอย่างใจเย็น นางก็อยากใช้บันไดบ้าง สตรีรับใช้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งสองคนยึดบันไดเข้ากับเสา และกางขาทั้งสี่ข้างอย่างมั่นคง
เซียวจื่อเยว่เหยียบขึ้นไปด้วยความระมัดระวังและตัดองุ่นพวงแรกด้วยกรรไกร
อวี๋หวั่นตัดมาแล้วเจ็ดแปดพวง เธอเคยทำงานในสวน แน่นอนว่าการเก็บองุ่นไม่ใช่สิ่งที่บุตรีชนชั้นสูงที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติมั่งคั่งร่ำรวยจะเทียบได้ เธอเก็บมาพอสมควรแล้ว พลันหันศีรษะไปเห็นเซียวจื่อเยว่กำลังมองมาที่ตนด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ เธอจึงคิดและยื่นพวงองุ่นที่เพิ่งตัดไปให้นาง
เซียวจื่อเยว่คลี่ยิ้มราวกับได้รับลูกอมหวานที่นางโปรดปราน พลันยื่นตะกร้าไปรับด้วยใบหน้าแววตาที่เปื้อนยิ้ม
ด้วยความช่วยเหลือจากอวี๋หวั่น ตะกร้าของเซียวจื่อเยว่ก็หนักขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พี่อวี๋ช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย!” พี่น้องสตรีแซ่จางยื่นตะกร้ามาให้อวี๋หวั่น
เซียวจื่อเยว่เรียกอวี๋หวั่นว่าพี่สะใภ้ ทว่าพี่น้องสตรีไม่อาจเรียกตามนางว่าพี่สะใภ้ได้ จึงเปลี่ยนไปเรียกพี่อวี๋ เพราะคำเรียกเช่นนี้ดูสนิทสนมมากกว่าพระชายาซื่อจื่อ
“ได้สิ” อวี๋หวั่นตัดพวงหนึ่งยื่นให้นาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]