อวี๋หวั่นไปที่ห้องครัวและทำอาหารจานเล็กๆ สองอย่าง เมื่อกลับไปที่ห้อง เยี่ยนจิ่วเฉาตื่นขึ้นแล้ว ทั้งคู่ทานอาหารด้วยกัน
อวี๋หวั่นไปอยู่ที่วัดสองวัน ความอยากอาหารของเยี่ยนจิ่วเฉายังไม่ดีนัก ข้าวชามเล็กๆ ก็ยังยากที่จะกลืนลงคอ แต่อวี๋หวั่นกลับมามันก็ต่างไป จานหนึ่งเป็นแกงเปรี้ยวรากบัว หม้อหนึ่งเป็นแกงเต้าหู้ปลาจี้อวี๋ เยี่ยนจิ่วเฉากินอย่างหมดจด แม้ต้นหอมสักชิ้นก็ไม่เหลือ
พ่อครัวหัวเราะชอบใจ
หลังอาหารกลางวัน อวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาก็ไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ในลานด้านหลัง เพลิดเพลินกับความเย็นสบาย
วันนี้อากาศร้อน อวี๋หวั่นให้คนรับใช้ไปนำก้อนน้ำแข็งมาหนึ่งถังและใส่ลิ้นจี่ที่ล้างแล้วลงไป
จิ้งจอกหิมะตัวน้อยก็ร้อนยิ่งนัก วิ่งแลบลิ้นออกมานอนบนน้ำแข็ง
ปลายนิ้วเรียวของเยี่ยนจิ่วเฉาจับคอและยกตัวมันขึ้นอย่างไร้ความปรานี
จิ้งจอกหิมะตัวน้อยคร่ำครวญพร้อมกับใช้กรงเล็บตะกายขึ้นลง!
เยี่ยนจิ่วเฉายิ้มมุมปากอย่างขี้เล่นและวางมันลงบนโต๊ะตัวเล็กข้างๆ ลูบไล้หน้าท้องขาวเล็กน้อยด้วยปลายนิ้ว
จิ้งจอกหิมะตัวน้อยถูกลูบอย่างสบาย
แต่ไม่รู้คิดอย่างไร จู่ๆ มันก็ลุกขึ้นยืน ใช้มือทั้งสองข้างตะปบนิ้วชี้ของเยี่ยนจิ่วเฉา และกดเข้าไปในก้อนน้ำแข็ง
หลังจากกดไปสักพัก ก็นอนลงอีกครั้งและเอานิ้วเย็นๆ นั้นมาไว้ที่ท้อง
เยี่ยนจิ่วเฉาลูบท้องของมันอีกครั้ง
ว้าว
จิ้งจอกหิมะน้อยสุดเท่!
“เยี่ยนจิ่วเฉา ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน” อวี๋หวั่นปอกลิ้นจี่
“อันใดหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามพลางถูท้องจิ้งจอกหิมะ
อวี๋หวั่นป้อนลิ้นจี่ที่ปอกเปลือกแล้วให้กับจิ้งจอกหิมะตัวน้อย
ในขณะที่เพลิดเพลินกับการนวดของนายท่าน สุนัขจิ้งจอกหิมะก็ได้รับอาหารจากนายหญิง มันใช้อุ้งมือถือลิ้นจี่และใช้ปากของมันดูดคำใหญ่
“ไป๋หลี่เซียง…มาจากหวั่นเจาอี๋” อวี๋หวั่นบอกต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดให้เยี่ยนจิ่วเฉาฟัง อวี๋หวั่นเพียงบอกความจริงอย่างเป็นกลางและไม่ได้ใส่ความคิดของเธอลงไปด้วย เยี่ยนจิ่วเฉาจะรู้ความตั้งใจของหวั่นเจาอี๋ได้อย่างไร แล้วจะรู้เห็นสิ่งที่เซียวเจิ้นถิงทำได้อย่างไร เขามีหัวใจที่เป็นกลาง ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องโน้มน้าว
เยี่ยนจิ่วเฉาที่กำลังถูนิ้วกับจิ้งจอกหิมะหยุดชะงัก
จิ้งจอกหิมะตัวน้อยดูดลิ้นจี่เสร็จแล้ว ก็จับแกนลิ้นจี่แล้วมองไปที่นิ้วของเจ้านายอย่างไม่พอใจ จับมันไปแช่ในก้อนน้ำแข็งและนำมากดที่ท้องของมันต่อ
เยี่ยนจิ่วเฉากลับมามีสติและถูต่อไป
จิ้งจอกหิมะน้อยหลับตาลงด้วยความพึงพอใจ
อวี๋หวั่นต้องการเอ่ยมากกว่านี้ แม้หวั่นเจาอี๋จะเป็นคนร้าย ทว่าไม่ใช่ตัวการที่ก่อกรรมทำชั่ว ตัวการคือตี้จีองค์เล็กแห่งหนานจ้าว
“เหตุใดท่านถึงไม่แปลกใจแม้แต่น้อย?” อวี๋หวั่นมองเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยความสงสัย “ท่าน…รู้อยู่แล้วหรือ?”
ตั้งแต่อวี๋หวั่นบอกเขาว่าฮูหยินเหยาเห็นบ้านเล็กของบิดาเขา เยี่ยนจิ่วเฉาก็พอเดาได้ว่าบ้านเล็กนั้นคือตี้จีองค์เล็กแห่งหนานจ้าว บุตรชายของหัวหน้าเผ่าเล็กๆ อะไรนั่น ทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งบังหน้าเท่านั้น สิ่งที่เรียกว่าหลบหนีนั้นก็คงเป็นเพียงการซ่อนตัวอยู่ในเมืองเยี่ยนเท่านั้น
“ท่านพ่อของข้าอาจจะยังไม่ตาย”
อวี๋หวั่นถึงกับผงะ
“และอาจจะเป็นราชบุตรเขยแห่งหนานจ้าว”
อวี๋หวั่นตกตะลึง
แค่เรื่องที่เยี่ยนอ๋องยังไม่ตายก็เพียงพอที่จะทำให้คนตกใจราวกับถูกฟ้าผ่า แล้วยังราชบุตรเขยแห่งหนานจ้าวอีก…นี่ทำให้อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไร
หากเป็นเช่นนั้นจริง ตี้จีองค์เล็กแห่งหนานจ้าวก็มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะฆ่าเขา เพื่ออ้างว่าเยี่ยนอ๋องเป็นของตนเอง นางต้องการให้บุตรชายของนางเป็นเลือดเนื้อเพียงหนึ่งเดียวของเยี่ยนอ๋อง แล้วเยี่ยนอ๋องละ? เขาคิดอย่างไร? ระหว่างนั้นเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่? กลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
“ท่านรู้สึก…ว่าท่านพ่อยังไม่ตายมาตั้งนานแล้วใช่หรือไม่?”
ดังนั้นเขาจึงลังเลที่จะสืบทอดตำแหน่ง
เขากำลังรอให้บิดาของเขากลับมา ทว่าคาดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นั้นได้กลายเป็นครอบครัวอื่นไปแล้ว เยี่ยนอ๋องได้ละทิ้งซั่งกวนเยี่ยน และละทิ้งเขา ความศรัทธาที่มีมาตลอดชีวิตของเขาราวกับพังทลายลงในชั่วข้ามคืน
นี่มันไม่ยุติธรรมกับเยี่ยนจิ่วเฉาเกินไปแล้ว
เขารอคอยมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ แต่สุดท้ายได้สิ่งใด?
“บางทีเรื่องราวอาจไม่ใช่อย่างที่เราเห็น”
อวี๋หวั่นจับมือของเยี่ยนจิ่วเฉาแน่น
พิษต้องแก้
ความจริงก็ต้องสืบ!
อวี๋หวั่นมองเขาอย่างเย็นชา “ท่านแน่ใจหรือว่ายานี้ใช้ได้?”
ชุยเฒ่ายิ้มมุมปาก “ข้าจะแน่ใจได้อย่างไร? อย่างไรก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว อีกทั้งสูตรยาเดียวกัน ก็หาใช่จะใช้ได้กับทุกคน แต่ในเมื่อเขาเป็นเช่นนี้ไปแล้ว พวกเจ้าก็รักษาม้าตายด้วยยาม้าเป็น[1]เถิด หากรักษาได้ก็ดี หากรักษาไม่ได้ อย่างมากก็แค่เป็นเหมือนเดิม”
แม้จะดูหยาบคายทว่าก็มีเหตุผล
อวี๋หวั่นเรียกเจียงไห่ และให้เขานำยาไปส่งให้เซียวเจิ้นถิง
อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วออกไปหาซื้อวัตถุดิบยาจากนอกเมือง
ชุยเฒ่าสอนวิธีในการฝังเข็มทองแก่อวี๋หวั่น เพื่อช่วยระงับพิษไป๋หลี่เซียงไว้ชั่วคราว
………………
ในช่วงต้นเดือนเจ็ด สกุลอวี๋มีเรื่องน่ายินดีถึงสองเรื่อง หนึ่งคือการแต่งงานระหว่างอวี๋เฟิงกับไป๋ถังได้ถูกกำหนดแล้ว พระชายาซื่อจื่อแห่งจวนเยี่ยนอ๋องมาสู่ขอถึงบ้าน นายท่านไป๋ถึงกับตกใจจนขาอ่อนแรง จะยังมีปากไว้ปฏิเสธได้อย่างไร? นอกจากนี้ บุตรสาวของเขาก็โตมากแล้ว ทั้งยังถูกโจษจันว่าหยิ่งยโส นายท่านไป๋เตรียมใจที่จะไม่สามารถส่งบุตรสาวออกไปแต่งงานไว้แล้ว ทว่ายามนี้พี่ชายของพระชายาซื่อจื่อเต็มใจมาขอแต่งงาน นายท่านไป๋แทบรอที่จะให้ทั้งสองได้เข้าห้องหอไม่ไหวแล้ว!
หากเอ่ยถึงชาติกำเนิดของอวี๋เฟิง
ได้คะแนนที่มีสถานะลูกพี่ลูกน้องของพระชายาซื่อจื่อ
ได้คะแนนที่มีน้องชายเป็นนักเรียนอยู่ในสำนักบัณฑิตกั๋วจื่อเจียน
ได้คะแนนที่เป็นเจ้าของโรงฝึกงานตั้งแต่อายุน้อย
และที่บ้านยังมีเหมือง! ! ! เป็นคะแนนที่พิเศษสุดๆ!
เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ จะเป็นชาวนาขาเปื้อนโคลนหรือไม่ ก็หาใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
วันแต่งงานถูกกำหนดขึ้นในเดือนเก้า
เดิมทีคุยกับว่าเป็นเดือนสิบ ทว่านายท่านไป๋กังวลว่าสกุลอวี๋จะเปลี่ยนใจ จึงเลื่อนวันแต่งงานให้เร็วขึ้น
ดวงตาของไป๋ถังเย็นชา “ทำอย่างกับข้าจะแต่งไม่ออกเยี่ยงนั้นละ!”
นายท่านไป๋ : แล้วไม่ใช่รึ?!
และอีกเรื่องหนึ่งคือ กั๋วจื่อเจียนจัดการสอบประจำเดือนอีกครั้ง และอวี๋ซงก็เป็นที่หนึ่งของห้องสอง
…………………………………………………….
[1] รักษาม้าตายด้วยยาม้าเป็น 死马当活马医 อุปมาถึง การพยายามทำทุกอย่างในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]