โดยทั่วไปประตูเมืองของหนานจ้าวจะปิดเร็วกว่าของต้าโจว ยามที่ดวงอาทิตย์เคลื่อนลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ประตูเมืองก็จะปิดลง
“เสียเวลานั่งรถมาตลอดทั้งเช้า! สุดท้ายก็ต้องมาพักแรมอยู่กลางป่าเนี่ยนะ!” ชุยเฒ่าบ่น
เขาอายุมากแล้ว นั่งรถลงเรือก็มักจะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่เจ้าปรมาจารย์เวรตะไลนั่นกลับเร่งให้เดินทางเร็วๆ ราวกับจะรีบไปเกิดใหม่ ชุยเฒ่ารู้สึกราวกับท้องไส้บิดวนแทบแย่ หากเร่งเดินทางแล้วมาทันเข้าเมืองก็ว่าไปอย่าง แต่เขากลับท้องเสียตลอดช่วงบ่าย
คนที่เร่งให้เดินทางเร็วขึ้นก็คือเขา คนที่ไปต่อไม่ไหวก็คือเขา ชุยเฒ่าโมโหจนควันออกหู!
ชิงเหยียนรอเขาจนสีหน้าไม่ดีเช่นกัน เมื่อเขาลงจากรถม้าแล้วเดินผ่านปรมาจารย์พิษไป ก็ไม่ได้แม้แต่จะเหลือบมองเขา
ปรมาจารย์พิษแม้จะดูแล้วเป็นผู้มีวิชาความรู้แก่กล้า แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นคนใจแคบ เขาจดจำเรื่องที่คนกลุ่มนี้ทำเสียมารยาทต่อตน แล้วก็คิดว่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ
ใต้เท้าเฟ่ยหลัวบอกไว้ว่าขอเพียงช่วยให้เขาได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา ใต้เท้าเฟ่ยหลัวก็จะให้เขาติดตามไปด้วย องครักษ์ของใต้เท้าเฟ่ยหลัวเป็นคนที่จวนประมุขหญิงส่งมา ไหนเลยชาวยุทธภพกระจอกๆ เหล่านี้จะเทียบชั้นได้
นอกจากนั้นแล้ว ระหว่างทางเขาก็จะได้ผูกมิตรกับใต้เท้าเฟ่ยหลัว ในวันข้างหน้าเมื่อเข้าไปยังเมืองหลวง เขาจะได้ถูกนับว่าเป็นผู้ที่รู้จักมักคุ้นกับใต้เท้าเฟ่ยหลัวแล้ว
เนื่องจากไม่อาจเข้าไปในเมืองหลวงได้ ทั้งโดยรอบก็ว่างเปล่าไม่มีที่ให้พัก พวกเขาจึงจำต้องหาพื้นที่บริเวณนั้นค้างแรม
เดินทางมาหลายวัน พวกเขานับว่ามีประสบการณ์ จึงหยิบกระโจมและอุปกรณ์ต่างๆจากรถม้ามากาง
สิ่งที่ควรแก่การเอ่ยถึงก็คือ บ่าวของปรมาจารย์พิษผู้นี้ได้ล้มตายหรือบาดเจ็บจากการเผชิญหน้ากับกลุ่มโจรระหว่างทางไปจนหมด เหลือเพียงสารถีรถม้าที่ยังคงติดตามเขา เขาเองก็มิได้ไม่มีเงินซื้อบ่าวแต่อย่างใด เพียงแต่ไม่มีใครเข้าตาเขาสักคน เมื่อคิดเช่นนี้ รอให้เข้าเมืองหลวงไปก่อนแล้วค่อยๆ เลือกก็ยังไม่สาย
สารถีรถม้ามีความสามารถจำกัด กระโจมสำหรับค้างแรมเยว่โกวก็เป็นคนกางให้ ส่วนเจียงไห่และชิงเหยียนไม่คิดจะสนใจเขาแล้ว
ในตอนนี้ หากจะไม่กล่าวถึงความใส่ใจและรอบคอบของจื่อซูก็คงไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นการเดินทางเพียงวันเดียว แต่จื่อซูเตรียมอาหารแห้งสำหรับสองวัน ทว่าอีกส่วนหนึ่งเป็นข้าวสารและอาหารแห้ง ของเหล่านี้ ไม่เสียภายในเวลาชั่วข้ามคืน สามารถเก็บไว้ได้
ฝูหลิงไปจุดไฟ
จื่อซใช้น้ำที่เตรียมไว้มาแช่ข้าว จากนั้นก็นำหม้อไปวางไว้บนเตาซึ่งทำมาจากก้อนหินวางซ้อนๆ กัน จากนั้นก็หยิบปลาแห้งและเนื้อแห้งไปย่างบนอีกเตาหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเจียงไห่ไปล่ากระต่ายมาจากที่ใด เขาไม่ต้องรอให้ใครมาช่วย ลงมือชำแหละกระต่ายด้วยตนเอง แล้วจึงส่งให้จื่อซูและฝูหลิงจัดการ
ทั้งสองหยิบเกลือเกล็ดหิมะและผักดองซึ่งนำมาจากบ้านสกุลอวี๋ออกมา ส่วนน้ำมันได้แวะซื้อระหว่างทางเรียบร้อยแล้ว
“ยังมีต้นหอมอยู่ไหม?” จื่อซูถาม
“มี ข้าไปหยิบให้!” ฝูหลิงก้าวออกไปอย่างฉับไว เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ถือถาดใบเล็กเข้ามา เป็นต้นหอมที่
อวี๋หวั่นปลูกเอง
อาจเป็นเพราะยาที่กิน ช่วงนี้เยี่ยนจิ่วเฉาจึงไม่กินเนื้อสัตว์ เขาไม่กินเนื้อกระต่าย อวี๋หวั่นจึงเก็บน่องกระต่ายเอาไว้ชิ้นหนึ่ง ส่วนอีกน่องก็ให้จื่อซูนำไปให้อาม่า
กลิ่นหอมของเนื้อกระต่ายย่างอบอวลไปทั่ว อีกทั้งลอยไปยังกระโจมของปรมาจารย์พิษ เดิมทีเขาไม่หิว กินหมั่นโถวเข้าไปเล็กน้อยก็ล้มตัวลงนอน ทว่าเมื่อกลิ่นหอมลอยมาแตะจมูก เขาก็พลันรู้สึกท้องร้องขึ้นมา
เขาร้องเรียกสารถี “พวกเขากินอะไรกันอยู่?”
สารถีก็หิวมากเช่นกัน เขากลืนน้ำลายแล้วตอบว่า “ดูเหมือนว่าองครักษ์เจียงจะล่ากระต่ายมาได้ตัวหนึ่ง พวกเขาเอากระต่ายมาย่างกินขอรับ”
ปรมาจารย์พิษมีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก “เจียงไห่เป็นผู้คุ้มกันของข้า! ของที่เขาหามาได้ก็ต้องเป็นของข้าสิ เหตุใดไปอยู่ในท้องคนพวกนั้นได้?!”
“เช่นนั้น…ข้าน้อยไปเอาจากพวกเขามาให้ก็ได้ขอรับ” ต้องเอามามากสักหน่อย ถ้าหากปรมาจารย์กินไม่หมด จะได้ตกถึงเขาด้วย!
“…ช่างเถอะ” เมื่อปรมาจารย์พิษนึกถึงแผนการของวันนี้ เขาก็กดความกระหายอยากกินเนื้อเอาไว้ได้
“ขอรับ” สารถีคอตกด้วยความผิดหวัง เนื้อกระต่ายหอมเหลือเกิน ปลาย่างและเนื้อย่างก็หอม ในข้าวมีมันเทศ หอมๆๆๆ!
ปรมาจารย์พิษก็รู้สึกว่าหอมเช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีวิธีนี่? ตั้งแต่ที่เขาได้เปิดเผยว่าตนต้องการซื้อสาวใช้คนนั้น ก็นับว่าแตกหักกับเจ้าเด็กคนนั้นไปแล้ว
อันที่จริงก็แค่สาวใช้เพียงคนเดียวไม่ใช่หรอกรึ? ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเพราะเหตุใดถึงขายให้ไม่ได้? ถึงกับล่วงเกินปรมาจารย์พิษสองคนเพียงเพราะสาวใช้คนเดียว คนผู้นี้บ้าไปแล้วหรืออย่างไรกัน!
โครกคราก~
เนื้อกระต่ายหอมจนเขาท้องร้องออกมา
“มีอะไรให้กินบ้าง?” ปรมาจารย์พิษเอ่ยถามอย่างหัวเสีย
สารถีตอบว่า “มีเนื้อแห้งและขนมขอรับ”
เนื้อแห้งก็ซื้อมาจากร้านเดียวกัน แต่ไม่รู้ว่าทำไม ปรมาจารย์พิษจึงคิดว่าเนื้อแห้งของคนอื่นหอมกว่า
เขาโบกมือ แล้วให้สารถียกอาหารออกไป ขณะที่สารถีเลิกม่านกระโจมออก ก็ได้ยินปรมาจารย์เอ่ยขึ้นอีกว่า “ช้าก่อน เจ้ามานี่”
ปรมาจารย์พิษหยิบเหล้าองุ่นป่าไหหนึ่งออกมาจากห่อผ้า “เจ้าเอาไปให้พวกเขา”
“หา?” สารถีตกใจ “เหตุใดอยู่ๆ ใต้เท้าให้นำเหล้าไปให้เขาละขอรับ?”
ทั้งยังเป็นเหล้าชั้นดีเสียด้วย?
สารถีติดตามปรมาจารย์พิษมานาน มีหรือจะไม่รู้ว่าปรมาจารย์พิษคิดจะนำของสิ่งนี้ไปมอบให้ครอบครัวที่เชิญเขาในเมืองหลวง เหล้าองุ่นชนิดนี้หาไม่ได้ตามท้องตลาด เป็นเหล้าที่ปรมาจารย์สุราเลือกสรรองุ่นป่าลูกใหญ่ที่สุดมาหมัก ปรมาจารย์พิษทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผล
ปรมาจารย์พิษมีแผนในใจ เหล้านั้นเป็นเหล้าที่ดี ทว่าตั้งแต่เขาได้รู้จักกับใต้เท้าเฟ่ยหลัว เบื้องหน้าปรมาจารย์พิษก็ราวกับบังเกิดทางที่เส้นใหญ่กว่าขึ้นมา เขาจะทำทุกสิ่งที่เขาทำได้เพื่อใต้เท้าเฟ่ยหลัว
“ให้เจ้าเอาไปให้เจ้าก็เอาไปให้เถอะ จะพูดมากทำไม?”
“เช่นนั้น…ถ้าพวกเขาถามขึ้นมาเล่าขอรับ ข้าน้อยจะตอบว่าอย่างไร?”
“เจ้าก็บอกไปว่า…ใช้เหล้าไปแลกกับเนื้อ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]