อวี๋หวั่นได้สืบความเกี่ยวกับเวลาและกฎระเบียบในการรับแขกของฮวาขุยมาจากผู้จัดการ
ผู้จัดการกล่าวว่า “แม่นางต่งรับแขกทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน ทุกครั้งจะมีคุณชายเพียงคนเดียวที่ได้เป็นแขกของนาง”
อวี๋หวั่นลูบคาง “วันนี้ไม่ใช่ทั้งวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้า จะทำอย่างไรดี?”
ผู้จัดการยิ้ม “คุณชายรอก่อนขอรับ”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “รอไม่ได้”
ห่างกันเพียงวันเดียว เยี่ยนจิ่วเฉาก็ได้รับอันตรายจากพิษเพิ่มขึ้นมาหนึ่งส่วน ตัวตนของพวกเขาก็เสี่ยงที่จะถูกเปิดเผยเพิ่มขึ้นเช่นกัน
“เช่นนั้น…” ผู้จัดการชะงักไป ความสงสัยปรากฏบนใบหน้า
อวี๋หวั่นส่งทองให้เขา
ผู้จัดการบอกปัดว่า “คุณชายให้มามากแล้วขอรับ หากข้ารับอีกก็จะเสียมารยาท เมื่อครู่ข้ากำลังคิดว่าวิธีนั้นยากเกินไปสักหน่อย”
“วิธีอะไร?” อวี๋หวั่นถาม
ผู้จัดการกล่าวว่า “แม่นางต่งผู้นี้นับถือปรมาจารย์พิษ หากในบรรดาพวกท่านมีปรมาจารย์พิษที่ฝีมือสูงส่ง ก็สามารถเข้าไปพบแม่นางต่งได้โดยตรงเลยขอรับ”
ในบรรดาพวกเรามีหมอ มีมือสังหาร มีนักบวช แต่กลับไม่มีปรมาจารย์พิษ
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “ดูแล้วน่าจะต้องรอจนถึงวันที่สิบห้าสินะ?”
ชิงเหยียน: เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่นึกเสียดายที่ไม่พาอาเว่ยมาด้วย…
เหตุที่ทิ้งอาเว่ยไว้ที่หมู่บ้านก็เพราะเขาชอบถ่วงแข้งถ่วงขา อีกทั้งพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องใหญ่เพราะหนังสือผ่านทาง ในเมื่อเห็นอยู่ว่าระหว่างทางก็ราบรื่นดี…เพราะฉะนั้นการประสบพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ บางครั้งก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
เจียงไห่จึงบอกว่า “เอาเถอะ อย่างน้อยก็รู้เรื่องของเห็ดหลินจือเพลิงแล้ว หลังจากนี้เจ็ดวันก็เป็นวันที่สิบห้า เมื่อถึงวันนั้นค่อยไปพบแม่นางต่ง หวังเพียงว่าจะไม่มีปรมาจารย์พิษคนใดมาชิงตัดหน้าพวกเรา เอาเห็ดหลินจือเพลิงไปเสียก่อน”
ในตอนนี้คงทำได้เพียงเท่านี้ หรือไม่พวกเขาก็ต้องใช้เวลาระหว่างนี้เฟ้นหาปรมาจารย์พิษที่เก่งกาจมาสักคน เพียงแต่พวกเขาเพิ่งมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ไม่คุ้นเคยกับคนที่นี่ จะไปหาปรมาจารย์พิษจากไหนกัน?
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังกังวลว่าจะหาเห็ดหลินจือเพลิงอย่างไรอยู่นั้น กลับไม่รู้ว่าอาเว่ยและเด็กน้อยทั้งสามก็กำลังอยู่บนเส้นทางมายังหนานจ้าวเช่นกัน
อาเว่ยใช้เวลาสองวันเต็มๆ กว่าจะพบตัวเด็กน้อยตัวอวบอ้วนทั้งสามบนรถม้า อาเว่ยกังวลว่าหากเด็กทั้งสามรู้ว่าเขาหายไป ก็จะร้องให้คนที่บ้านพาพวกเขาตามมา ดังนั้นจึงรีบเร่งมาตลอดทาง จนไม่รู้วันรู้คืน แม้กระทั่งความตื่นตัวของเขาก็ยังมีไม่มากดังที่เคยเป็น
เขาลงจากรถม้าไปปลดทุกข์ เด็กน้อยทั้งสามก็ลงจากรถม้าไปปลดทุกข์ ทั้งยังขึ้นรถเร็วกว่าเขาเสียด้วย
เขากินข้าว เด็กทั้งสามก็กินเช่นกัน
แกร็กๆ แกร็กๆ
หืม…รู้สึกเหมือนมีหนูอยู่บนรถ
จนวันที่สาม เสี่ยวเป่ากินมันเทศแห้งมากไปจนผายลมออกมา ทันทีที่ได้ยินเสียง อาเว่ยซึ่งบังคับรถม้าอยู่ก็ตกใจจนเกือบร่วงลงมาจากรถม้า!
ด้วยเหตุนี้เด็กน้อยทั้งสามจึงถูกอาจารย์จับขึ้นมา
ดวงตากลมโตสามคู่มองไปที่เขา น่ารักเสียไม่มี
อาเว่ย “…”
อาเว่ย “!!!”
อาเว่ยล้มทั้งยืน!
กว่าจะสลัดเด็กพวกนี้หลุด พวกเขากลับตามมาอีกหรือ?!
อาเว่ยรู้สึกราวกับตายคาที่ไปสามวินาที!
อุตส่าห์รีบแทบแย่ ออกมาไกลจากตำบลเหลียนฮวาแล้ว จะพาเด็กน้อยทั้งสามกลับไปส่งก็ไม่ได้ อย่างไรเสียเวลาก็มีผลกับกลิ่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ หากไปๆ มาๆ เกรงว่าหนอนพิษของเขาคงจะตามกลิ่นของอาม่าไม่ได้แล้ว
อาเว่ยผู้รู้สึกหลงทางไม่อาจกลับบ้านได้
อาเว่ยทำได้เพียงพาเด็กทั้งสามไปด้วย
พวกเขาเดินทางตอนกลางวัน พักผ่อนตอนกลางคืน เด็กน้อยทั้งสามอยู่แต่บนรถม้าไม่มีอะไรทำ จึงได้แต่กวนอาเว่ย
ในตอนนี้ วายร้ายอันดับหนึ่งแห่งเผ่าปีศาจได้กลายเป็นเช่นนี้:
อาเว่ย หิวข้าว!
อาเว่ย คันหลัง!
อาเว่ย อาบน้ำหน่อย!
อาเว่ย เช็ดก้นหน่อย!
…จะกินนม!
…จะนอนแล้ว!
ข้า…เหนื่อยอย่างกับคนแก่…
ในที่สุดพวกเขาก็ออกจากต้าโจวมายังชิงเหอ เด็กๆ ตัวจ้ำม่ำ ส่วนอาเว่ยมีแต่จะผ่ายผอมลงเรื่อยๆ…
บังเอิญเหลือเกิน โรงเตี๊ยมที่พวกเขามาพักนั้นเป็นโรงเตี๊ยมที่พวกอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉามีเรื่องก่อนหน้านี้ โรงเตี๊ยมถูกขโมยเงิน ได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่ก็มิได้ถึงกับปิดกิจการ หลังจากผ่านการซ่อมแซมแล้ว กิจการก็ยังคงดีดังเคย
รถม้าของอาเว่ยมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยม เขาเปิดประตูด้านหลังของรถม้า เด็กน้อยทั้งสามจูงแม่แพะตัวขาวอวบอ้วนลงมา
นี่เป็นแม่แพะสำหรับผลิตนมที่อาเว่ยจ่ายเงินไปห้าตำลึงซื้อมาระหว่างทาง
ตอนที่ซื้อมานั้นมันผอมโซ ไม่รู้ว่าเด็กน้อยทั้งสามเลี้ยงอย่างไรจึงอ้วนท้วนขึ้นมาเช่นนี้
ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสาม และแม่แพะอีกตัวหนึ่ง เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมอย่างสง่าผ่าเผย
อาเว่ยมีเงินไม่มาก เงินห้าสิบตำลึงเป็นเงินที่คนทั้งบ้านหามาได้ เดิมทีคิดว่าจะใช่เป็นค่าเดินทาง แต่อาม่าและคนอื่นๆ ไปกับอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉา จึงสามารถประหยัดเงินค่าเดินทางไปได้ เงินเหล่านี้จึงตกเป็นของอาเว่ย
เจ้าเด็กอ้วนทั้งสามก็กินไม่น้อย ดังนั้นเงินห้าสิบตำลึงจึงใช้ไปจนเกือบหมดแล้ว ในตอนนี้อาเว่ยยากจนข้นแค้น
เหลือเกิน ทว่าผู้จัดการกลับไม่คิดเช่นนั้น นั่งรถม้าชั้นดี มองปราดเดียวก็รูู้แล้วว่าเป็นผู้ดีมีตระกูล รวยแน่ๆ ได้การละ!
ผู้จัดการและเหล่าเสี่ยวเอ้อร์มองหน้ากันไปมา จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย
เมื่ออาเว่ยและเด็กน้อยทั้งสามเดินขึ้นไปชั้นบน ผู้จดการก็ไปวางแผนพร้อมกับเสี่ยวเอ้อร์ที่ห้องเก็บฟืนทันที
“เขาดูเหมือนจะมีวรยุทธ์”
“กลัวอะไร? พวกเรามียาสลบนะ!”
“เจ้าโง่หรือเปล่า? ยาสลบจะไปทำอะไรได้? ครั้งก่อนเจอกับยอดฝีมือ ยังไม่ทันได้ใช้ยาก็ถูกจับได้เสียแล้ว!”
เมื่อนึกถึงบทเรียนอันแสนรันทดใจครั้งก่อน พวกเขาก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา
ในห้องเก็บฟืนเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่ง
อันธพาลซึ่งมีหน้าที่ควบคุมคนแทนเจ้าของก็เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นผู้จัดการคิดว่าทำอย่างไรดี?”
ผู้จัดการ “วางยานอนหลับ”
ทั้งสามคนมีสีหน้าประหลาดใจ: ยังไม่วายวางยาพวกเขารึ?!
ผู้จัดการบอกว่า “แต่ว่า รอให้มืดสักหน่อย อย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องกินข้าวเย็น วางยาในอาหารของพวกเขา พวกเขาไม่รู้เป็นแน่”
ทุกคนล้วนคิดว่า ธุรกิจที่ดี ก็ต้องทำเช่นนี้แหละ!
เมื่อตัดสินใจลงมือแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายไปเตรียมการ ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่หันหลังกลับไป ก็เห็นเด็กน้อยหน้าตาน่ารักสามคนยืนอยู่ นี่มันน่ากลัวยิ่งกว่าเห็นผู้ใหญ่เสียอีก มารดามันเถอะ เด็กผีพวกนี้โผล่มาจากไหนกัน?! พวกเขาแทบจะร้องออกมาด้วยความตกใจ!
มาคิดดูแล้ว นี่ไม่ใช่ผี แต่เป็นแพะตัวอวบอ้วนที่พวกเขาเตรียมจับขึ้นเขียงเชือดดีๆ นี่เอง
“ผู้จัดการ พวกเขาได้ยินแล้ว ทำอย่างไรดี?” เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งเอ่ยถาม
“ฆ่าทิ้งซะ” เสี่ยวเอ้อร์อีกคนหนึ่งบอก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]