หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 19

เด็กทั้งสามมองไปยังประตูซึ่งเปิดแง้มไว้ด้วยท่าทางงุนงง จากนั้นก็มองไปยังท่านพ่อซึ่งกำลังจิบชาอย่างละเมียดละไม

เยี่ยนจิ่วเฉาเปิดกล่องออก แล้วส่งถังหูลู่ซึ่งเพิ่งซื้อมาให้พวกเขา

เด็กทั้งสามเขย่งปลายเท้า คนหนึ่งหยิบถังหูลู่คนละไม้ เดินเข้าไปตรงหน้าเถี่ยตั้นน้อย แล้วส่งถังหููลู่ไปตรงหน้าของเขา

ท่านน้า อย่าร้องไห้

เถี่ยตั้นน้อยได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในสกุลอวี๋เป็นอย่างดี เขาตัวสูงขึ้น ร่างกายกำยำ ไม่เจ้าเนื้อเหมือนเมื่อก่อน และดูแข็งแรงกว่าเดิม

อวี๋หวั่นลูบศีรษะเล็กๆ ของเถี่ยตั้นน้อย “เจ็ดขวบแล้ว”

เถี่ยตั้นน้อยซุกหน้าเข้ากับอ้อมกอดของอวี๋หวั่น เขารู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง อายุตั้งเจ็ดขวบแล้ว แต่ยังร้องไห้จนงอแงเช่นนี้ น่าอายเหลือเกิน…

อวี๋หวั่นไม่ได้หยอกล้อเขา เพียงแต่รู้สึกใจหายที่เขาโตเร็วเช่นนี้ ทั้งสูงและแข็งแรง ครอบครัวลุงใหญ่ดูแลเขาดีจริงๆ

“เจ้าตั้งใจเรียนหนังสือหรือเปล่า?” อวี๋หวั่นถาม

เถี่ยตั้นน้อยพยักหน้า เมื่อครู่เพิ่งร้องไห้ จมูกจึงแดงก่ำ พูดจากอู้อี้ “บทเรียนที่อาจารย์สอนข้าทำได้หมด! พี่รองกลับบ้านมาทุกเดือน ก็ช่วยตรวจแบบฝึกหัดให้ข้า ไม่เชื่อท่านถามพี่รองได้ ว่าข้าเรียนเป็นอย่างไร!”

อวี๋ซงยืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มหล่อเหลาของบัณฑิตหนุ่มวาดผ่านใบหน้า

อวี๋ซงเห็นทีจะเป็นผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เขาไม่มีกลิ่นอายของเด็กชาวชนบทอีกต่อไป รอบกายของเขา

ดูประหนึ่งถูกแทนที่ด้วยไปกลิ่นอายของผู้คงแก่เรียน มิน่าเล่าถึงกล่าวกันว่าสำนักบัณฑิตเป็นสถาบันการศึกษาระดับสูงสุดของต้าโจว สามารถทำให้คนเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ นั่นมิใช่สิ่งที่สถาบันการศึกษาอื่นสามารถทำได้ และแน่นอนว่าส่วนหนึ่งย่อมมาจากจากความพยายามของอวี๋ซงเอง เขาชอบอ่านหนังสือ ไม่ใช่เพียงเพื่อการสอบ แต่เขาเพลิดเพลินกับความรู้และการเปลี่ยนแปลงที่ตนได้รับจากโลกแห่งหนังสือ

อวี๋หวั่นแทบหาความเชื่อมโยงระหว่างพี่ชายคนนี้และเด็กหนุ่มชาวนาคนนั้นไม่ได้อีกต่อไป เขาคืออวี๋ซง เป็นเจี้ยนเซิงคนใหม่ซึ่งมีพรสวรรค์ที่สุดในสำนักบัณฑิต โลกแห่งการเรียนรู้นั้นไร้ขอบเขต อนาคตของเขาก็ไร้ขีดจำกัด

“ท่านพี่พูดกับข้าสิขอรับ!” เถี่ยตั้นน้อยรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่อวี๋หวั่นเบนความสนใจไปหาอวี๋ซง

“ได้ๆๆ พี่พูดกับเจ้าแล้ว” อวี๋หวั่นหันไปยิ้มให้อวี๋ซง

อวี๋ซงพยักหน้าน้อยๆ อวี๋หวั่นจึงหันกลับไปถามเถี่ยตั้นน้อยเรื่องบทเรียน เมื่อก่อนเถี่ยตั้นน้อยไม่ชอบอ่านหนังสือ ทว่าตั้งแต่ที่อวี๋ซงบอกว่าให้เขาตั้งใจเรียน แล้วพ่อแม่และท่านพี่จะกลับมา เขาก็มุ่งมั่นตั้งใจเรียนมากกว่าเด็กทั่วไป

ในหมู่บ้านมีสำนักการศึกษา นักเรียนที่ผลการเรียนดีที่สุดก็คือเขา!

อวี๋หวั่นเห็นว่าน้องชายพูดจาฉะฉาน ก็รู้สึกพอใจและสบายใจเป็นอย่างมาก

อวี๋ซงยืนพิงประตูมองสองพี่น้อง หากกล่าวให้จำเพาะเจาะจง ก็คือมองอวี๋หวั่น

แม้ว่าจะไม่พบกันนาน แต่ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นจากความฝัน ผู้ที่ยังคงวนเวียนอยู่ในใจของเขาก็คือเธอ

“อวี๋ซง” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเรียก

“หืม?” อวี๋ซงหันหลังไปด้วยความประหลาดใจ แล้วมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งกำลังนั่งจิบชา “น้องเขย…มีอะไรหรือ”

เยี่ยนจิ่วเฉาถามว่า “ที่สำนักบัณฑิตสอนเดินหมากหรือยัง?”

อวี๋ซงพยักหน้า “สอนแล้ว”

อันที่จริง สำนักบัณฑิตไม่มีวิชาศิลปะการเดินหมาก แต่ไม่รู้ว่าอาจารย์ในสำนักบัณฑิตเป็นอะไร ทุกวันหลังเลิกเรียน ก็มักจะเรียกเขาเข้าไปในห้องหนังสือ และสอนเรื่องต่างๆ ซึ่งไม่มีสอนในชั้นเรียน เดิมทีคิดว่าอาจารย์ให้ความสำคัญกับเขา ภายหลังจึงค่อยๆ ตระหนักได้ว่าอาจารย์น่าจะถูกผู้อื่นจ้างวานมา และเพื่อให้สอนความรู้ศาสตร์อื่นๆ แก่เขา

ความรู้เหล่านี้มิได้มีประโยชน์กับการเรียนในชั้นเท่าไรนัก แต่กลับเป็นการอบรมและเพิ่มพูนความสามารถ ที่เขาเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้นั้น ส่วนหนึ่งก็ด้วยเหตุผลนี้

“น้องเขยอยากเดินหมากหรือ?” อวี๋ซงเดินเข้าไป

“ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ มาเดินหมากกันดีกว่า” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดอย่างไม่รีบร้อน

“อ้อ เช่นนั้นข้าไปหยิบหมากก่อน!” อวี๋ซงเข้าไปในห้อง ครอบครัวของพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับขุนนางอยู่เป็นนิจ จึงมีของเหล่านี้เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ

อวี๋ซงหยิบกระดานหมากออกมา

หนึ่งปีมานี้เรียกได้ว่าอวี๋ซงอยู่ในสำนักบัณฑิตราวกับปลาได้น้ำ ความพยายามของเขาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เขาก็คิดอยู่เสมอว่าไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้ที่ได้มาโดยปราศจากความพากเพียร สำนักบัณฑิตเป็นสถาบันการศึกษาระดับสูง กฎระเบียบเคร่งครัด การแบ่งชั้นเรียนก็เคร่งครัดไม่แพ้กัน เขาเคยเห็นบัณฑิตจากสกุลยากจนซึ่งถูกรังแกจนไม่กล้าไปเรียน เพียงเพราะเคยล่วงเกินคุณชายจากสกุลใหญ่

สำหรับเขาแล้ว นอกจากก่อนที่สถานะของเขาจะถูกเปิดเผย เขาก็เคยกระทบกระทั่งกับเจี้ยนเซิงคนอื่นๆ อยู่บ้าง

ทว่าภายหลังก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาอีก

ชีวิตของเขาที่นี่ มาจากความพยายามของเขากี่ส่วน มาจากอิทธิพลของน้องเขยอีกกี่ส่วน เขาย่อมรู้อยู่แก่ใจ เกรงว่าวิชาเรียนพิเศษที่เขาได้รับก็คงเป็นเพราะน้องเขยฝากฝังให้ จากที่เขาสังเกตดูแล้ว น้องสาวของเขาอาจยังไม่รู้เรื่องนี้

จะว่าไป อาหวั่นเป็นน้องสาวของเขาก็จริง แต่อายุของน้องเขย…มากกว่าเขาเสียอีก เขาเรียกว่าน้องเขยเช่นนี้…

ทันใดนั้นอวี๋ซงก็รู้สึกกระดากใจที่จะเรียกเยี่ยนจิ่วเฉาว่าน้องเขย

“สีดำเดินก่อน” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก

อวี๋ซงตั้งสติได้ จึงตระหนักได้ว่าตนเองหยิบหมากสีดำโดยไม่รู้ตัว เมื่อเริ่มประชันกัน หมากสีดำจะเริ่มเดินก่อน อวี๋ซงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาลอบคิดว่าตนเองไม่ควรหยิบหมากสีดำออกมาโดยไม่ถามก่อน แต่จะให้มาถามตอนนี้ก็คงไม่เหมาะ

อันที่จริงเรื่องของเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋ซงก็เคยได้ยินมาบ้าง เขาไม่ร่ำไม่เรียน เสเพลตามใจตนเอง สี่ศาสตร์ทั้งฉิน หมาก การเขียนพู่กัน และการวาดภาพล้วนแต่ไม่ช่ำชอง มิได้สืบทอดความปราดเปรื่องของเยี่ยนอ๋องมาแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน อวี๋ซงแม้จะชาติกำเนิดไม่ดีนัก แต่มีสติปัญญาเป็นเลิศ

หากกล่าวถึงศาสตร์การเดินหมากแล้ว แม้เขาเพิ่งเคยเรียนมาไม่ถึงหนึ่งปี ทว่าอาจารย์ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป

เห็นแก่ที่น้องเขยช่วยเหลือเขามาตลอด เขาจะออมมือให้สักหน่อย

เมื่ออวี๋ซงตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาแพ้อย่างเอน็จอนาถนัก เขาก็เริ่มประลองกับคุณชายเยี่ยนเป็นครั้งแรก ทว่าหลังจากเดินหมากไปหลายตา ก็เริ่มสังเกตได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ก่อนหน้านี้ เยี่ยนจิ่วเฉาดูเหมือนว่าจะร่อแร่ไม่เป็นท่า เดินหมากไปซ้ายทีขวาที ไร้ซึ่งกลยุทธ์ใดๆ ทว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ที่อวี๋ซงพบว่าหมากของตนถูกอีกฝ่ายล้อมไว้หมดแล้ว จะพลิกกลยุทธ์ก็คงไม่ทัน จึงทำได้เพียงมองดูหมากสีดำของตนเองตาปริบๆ

นี่มัน…กลยุทธ์ระดับเทพเซียนอะไรกัน?!

ยกแรก อวี๋ซงพ่ายแพ้ราบคาบ

ยกที่สองเริ่มต้นขึ้น อวี๋ซงระมัดระวังมากขึ้น ในครั้งนี้ เขาให้เยี่ยนจิ่วเฉาเล่นหมากสีดำ

กล่าวกันว่ามุมสำคัญกว่าขอบ โดยทั่วไปหมากสีดำมักจะเริ่มเดินจากจุดยุทธศาตร์ซึ่งได้เปรียบ แต่เยี่ยนจิ่วเฉากลับไม่ทำเช่นนั้น เขาเริ่มวางหมากที่ขอบ อวี๋ซงรู้สึกฉงนใจ นี่มันกลยุทธ์อะไรกัน? ตนควรจะไปดักเขา…หรือวางหมากที่มุมดี?

อวี๋ซงครุ่นคิดอยู่นาน ยกก่อนหน้าเขาเริ่มเดินหมากจากมุมซึ่งได้เปรียบ ผลก็คือพ่ายแพ้อย่างราบคาบ เขาเล่นหมากสีดำก็ไม่อาจเอาชนะได้แม้จะเริ่มเดินจากมุม ในยกนี้ เขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องชนะให้ได้!

สุดท้ายแล้วก็ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาเอาชนะจนไม่เห็นฝุ่น

ความสามารถของเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ที่อีกฝ่ายรู้ทั้งรู้ว่าโดนเขาหลอก แต่กลับไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไรต่อ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]