กองทัพสตรีชาวหมู่บ้านเหลียนฮวาอยู่ที่บ้านของพวกเขาครึ่งค่อนคืนไม่ยอมออกไป แต่ที่ออกไปก็เพราะเหล่าบุรุษอกสามศอกในครอบครัวของพวกนาง ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือพี่ชายมาพาออกไป ถ้าหากไม่มาพากลับไป พวกนางก็คงรั้งอยู่ที่นี่จนถึงฟ้าสางเป็นแน่
เด็กน้อยทั้งสามผล็อยหลับไปขณะกำลังอาบน้ำ ไป๋ถังจึงเข้ามารับหน้าที่ดูแลต่อ
แหะๆๆ นี่แหละคือสิทธิพิเศษของพี่สะใภ้ใหญ่!
แต่ว่า…เอ๊ะ…หนักเหลือเกิน!!!
วันนี้เยี่ยนจิ่วเฉาตื่นเต้นอยู่บ้าง แม้ว่าเขาจะไม่พูดออกมา แต่อวี๋หวั่นก็รับรู้ได้จากการแสดงออกของเขา
อวี๋หวั่นพลิกตัวในอ้อมกอดของเขา ดวงตาของเธอกะพริบปริบๆ “มีแต่คนห้อมล้อม มีความสุขกระมัง?”
ผู้ที่ไม่สนคำพูดของคนอื่นอย่างเขา ลึกๆ ในใจก็ยังเป็นเด็กซึ่งต้องการคำชมเชย
“เปล่าสักหน่อย!” คุณชายเยี่ยนแค่นเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูก แล้วโบกมือจนเกิดลมเพื่อดับเทียนบนเชิงเทียน
ในห้องนั้นมืดลง ไม่มีผู้ใดเห็นว่าใบหูของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ อีกทั้งดวงดาสีดำขลับของเขาสุกสกาวขึ้นมาราวกับดวงดาว
เยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นอยู่ในหมู่บ้านเหลียนฮวาสองวัน วันที่สามพวกเขาก็เดินทางกลับเมืองหลวง อวี๋ซงกลับไปพร้อมกับพวกเขาด้วย หากยังไม่กลับไปเรียนอีก อาจารย์ในเจิ้งอี้ถังของสำนักบัณฑิตคงโกรธจนควันออกหูเป็นแน่!
ให้เจ้านี่หยุดตั้งสามวันแล้ว ทำไม ไม่พอหรือ? ยังจะไปเตร็ดเตร่ข้างนอกอีก?
“เอานี่ไปด้วย! แล้วก็อันนี้!” ป้าสะใภ้ใหญ่ยกไหผักดองหลายไหขึ้นบนรถม้า “ลุงใหญ่เจ้าทำให้พวกเจ้าโดยเฉพาะ!”
“ข้าเอง!” อวี๋เฟิงรับไหมาจากมารดา แล้ววางลงบนรถม้าของอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉา
อวี๋ซงจะเข้าไปช่วย แต่อวี๋เฟิงบอกว่า “เจ้าตั้งใจเรียนหนังสือก็พอ เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องทำ”
อวี๋ซงเบ้ปาก แล้วหาจังหวะที่พี่ใหญ่ไม่เห็น ยกไหขึ้นรถ
อวี๋เฟิง “…”
“ปู่ใหญ่ลาก่อน ย่าใหญ่ลาก่อน ลุงใหญ่ลาก่อน ป้าสะใภ้ใหญ่ลาก่อน น้าเจินเจินลาก่อน…”
เด็กน้อยทั้งสามไม่รู้ว่าน้าหมายความว่าอย่างไร พวกเขาคิดว่าคำว่าน้ามีความหมายเดียวกับคำว่าน้อง เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น เกรงว่าคงจะรู้สึกอายที่จะเรียกเช่นนี้แล้ว อายุต่างกันเพียงปีเดียว แต่กลับเป็นน้าของพวกเขา?
อวี๋หวั่นพาเถี่ยตั้นน้อยไปด้วย
แม้ว่าครอบครัวของลุงใหญ่จะดีกับพวกเขา หมู่บ้านเหลียนฮวาก็เป็นสถานที่ที่ดี แต่ในเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่ เธอก็หวังว่าจะพาน้องชายไปเลี้ยงด้วยตนเอง
“ใช่แล้ว” ก่อนจะออกเดินทาง อวี๋หวั่นนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงหันไปมองยังทิศทางของหมู่บ้านข้างๆ “พี่ใหญ่ หลาย
วันมานี้ท่านเห็นชุยเฒ่าบ้างไหม?”
“เห็น…”
ยังพูดไม่ทันจบ อวี๋เฟิงก็สัมผัสได้ถึงสายตาของเยี่ยนจิ่วเฉา แม้จะไม่เข้าใจเจตนาของเยี่ยนจิ่วเฉา แต่เขาก็ส่ายหน้าอย่างรู้งาน “เห็นที่ไหนกัน? เขากลับมาแล้วหรือ?”
“เขากลับมาพร้อมๆ กับอาม่านี่นา” อวี๋หวั่นพึมพำ “พี่ใหญ่ไม่เห็นหรือ?”
“ไม่เห็น!” อวี๋เฟิงตัดสินใจโป้ปด หลังจากคร่ำหวอดในวงการการค้า เขาก็สามารถพูดโกหกได้อย่างแยบยล “มีอะไรหรือ อาหวั่นหาเขาทำไม”
“อ่า ข้ามีเรื่องนิดหน่อย อยากให้เขาช่วยเรื่องยาสักหน่อย” กลับมาหลายวันแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉารอยาถอนพิษอยู่ สรุปแล้วชุยเฒ่าหายไปไหนกัน
ชุยเฒ่าซึ่งกำลังกินขนมอยู่ในบ้านของอาม่าอย่างเอร็ดอร่อยถึงกับจามออกมาครั้งหนึ่ง…
อวี๋หวั่นยังไม่วางใจ “สือซัน เจ้าไปรอที่บ้านชุยเฒ่าก็แล้วกัน”
อิ่งสือซันชะงักไป
นี่มันอะไรกัน? ให้เขารอชุยเฒ่าหรือ? ถ้าชุยเฒ่าไม่ไป เขาก็จะไม่ได้กลับจวนหรือ?
เยี่ยนจิ่วเฉายังคงส่งสายตาให้เขา
อิ่งสือซันมุมปากกระตุก “…ขอรับ ข้าจะรอเขาอยู่ที่หมู่บ้าน”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าชุยเฒ่ายังหายไปไม่ยอมโผล่มา ข้าจะ…” อวี๋หวั่นไม่ได้พูดประโยคด้านหลัง แต่ชุยเฒ่าซึ่งอยู่ในบ้านของอาม่าซึ่งอยู่ห่างออกไปก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบในจิตวิญญาณ
ชุยเฒ่ารู้สึกน้อยใจ จะ…จะมาโทษเขาได้อย่างไร? เลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ในท้องของเจ้า! ข้าจะทำอะไรได้?!
ทุกคนต่างก้าวขึ้นรถม้า มุ่งหน้ากลับเมืองหลวง
พวกเขาถึงสำนักบัณฑิตก่อน จึงไปส่งอวี๋ซง
อวี๋หวั่นส่งกล่องใบหนึ่งให้อวี๋ซง
“คืออะไรหรือ ” อวี๋ซงถาม
“ของขวัญ” อวี๋หวั่นยิ้ม “ยินดีกับพี่รองที่ได้เลื่อนชั้นเรียน แล้วก็ยินดีด้วยที่ได้เป็นซิ่วไฉ”
เด็กคนนี้…
อวี๋ซงรู้สึกว่าหัวใจของเขาแทบละลาย ที่บ้านไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องการเรียนของเขา เขาจึงคิดว่าเธอไม่รู้ และไม่คิดว่าแม้แต่ของขวัญ เธอก็เตรียมมาแล้ว…
จ้าวเหิง “…?! ”
อิ่งลิ่วตวาดเสียงแข็งว่า “บังอาจ! เห็นผู้สำเร็จราชการแล้วยังไม่คุกเข่าอีก! ลากตัวออกไป! โบยสิบไม้!”
จ้าวเหิงถึงกับตะลึงงัน!
เขาไม่ได้ตกใจในตำแหน่งของเยี่ยนจิ่วเฉา หากแต่ตกใจที่รถม้าของเยี่ยนจิ่วเฉาจอดอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว แต่ไม่เปิดเผยตัวตน กลับมาเปิดเผยตัวตนตอนที่เขาเดินมา? พอเขาเดินมาแล้วเพิ่งนึกออกว่าผู้คนต้องคุกเข่าให้หรืออย่างไร?
นี่มัน…
เขาอยากจะบ้าตาย!
จ้าวเหิง “ข้า…”
อิ่งลิ่วหัวเราะลั่น “อยู่ต่อหน้าผู้สำเร็จราชการ ยังเรียกตนเองว่าข้าอีกรึ? เพิ่มโทษอีกหนึ่งสถาน! โบยหกสิบไม้!”
จ้าวเหิง “!!!”
เขาเป็นเพียงบัณฑิตผอมแห้งคนหนึ่ง จะไปทนหกสิบไม้ได้อย่างไรกัน?
“เกิดอะไรขึ้น” อวี๋หวั่นซึ่งขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้วก็เปิดม่านออกมา เมื่อเห็นจ้าวเหิงซึ่งถูกองครักษ์ของจวนคุณชายบังคับให้คุกเข่าลงกับพื้น เธอจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เงยหน้าขึ้นมา”
จ้าวเหิงเงยหน้าขึ้นด้วยความอดสู มองไปยังอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นจ้องไปยังจ้าวเหิงชั่วขณะหนึ่ง ทันใดนั้นก็หันกลับไปฟ้องเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “สามี เขามองข้า!”
จ้าวเหิง “…!!!!!!!”
อิ่งลิ่ว “ลอบมองความงามของพระชายา เพิ่มโทษอีกสถาน! โบยเก้าสิบไม้!”
จ้าวเหิงหมดคำจะพูด เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าเงยหน้าไม่ใช่รึ? สุดท้ายจะมาโทษข้าได้อย่างไร? ทำอะไรไม่รู้จักขอบเขตบ้างรึ?!
เยี่ยนจิ่วเฉาบอกกับอิ่งลิ่วว่า “ข้าลืมไป ห้ามโบยบัณฑิต”
แสงแห่งความหวังสว่างวาบในใจของจ้าวเหิง โบยเก้าสิบไม้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทนไหวหรือไม่ เยี่ยนจิ่วเฉายังนับว่ามีมโนธรรม หรือไม่เขาก็ยังคิดได้ ว่าอย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงเจี้ยนเซิงของสำนักบัณฑิต ต่อให้เป็นคนจากทางการก็ไม่อาจลงโทษพวกเขาได้ตามใจชอบ
แต่ว่า ทันทีที่ความคิดของจ้าวเหิงแล่นปราดผ่านสมอง ก็ได้ยินเยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระว่า “ฆ่าเลยก็แล้วกัน”
จ้าวเหิง “…!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]