หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 212

หลังจากมีฝนตกปรอยๆ ติดต่อกันสองวัน วันที่สามท้องฟ้าก็เปิดโล่งปลอดโปร่ง คนที่เรือนชีสยาย่วนเก็บข้าวของเตรียมตัวออกเดินทาง ใต้เท้าปรมาจารย์พิษอาวุโสน้อยทั้งสามคนไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย เพียงแค่ต้องส่งบรรดาปรมาจารย์พิษไปที่เขาพิษเท่านั้น หลังจากน้ันพวกเขาก็อาจจะคิดว่าใต้เท้าปรมาจารย์พิษอาวุโสตัวน้อยต้องการเข้าไปยังเขาพิษเพื่อตามหาแมลงพิษมาฝึกฝนกู่

“อาม่า ข้าไปได้หรือไม่?” ก่อนจะออกเดินทาง อวี๋หวั่นเอ่ยถาม

ชายชราตอบ “เจ้าไปที่วิหารพิษได้ ทว่าเข้าไปที่เขาพิษไม่ได้”

“เพราะเหตุใด?”

“ราชันสัตว์พิษในตัวเจ้าอาจมีผลต่อคางคกหิมะ ดังนั้นเจ้าไม่อยู่ที่นั่นจะดีที่สุด”

อวี๋หวั่นพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะไปส่งพวกเขาแล้วจึงค่อยกลับมา”

แม้ว่าทุกสามปีคางคกหิมะจะตื่นขึ้นครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถบอกได้ว่ามันจะตื่นขึ้นวันใด และแม้ว่ามันจะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่เขาพิษอันกว้างใหญ่ การกระจายเหยื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ในระยะเวลาสั้นๆ

อวี๋หวั่นยื่นถุงผ้าที่จัดการเรียบร้อยแล้วไปให้ “นี่คืออาหารแห้งที่เพียงพอสำหรับครึ่งเดือน คนละส่วน ข้าจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว มีถุงน้ำอีกสามถุง หลังจากเข้าสู่เขาพิษพวกเจ้าต้องรีบหาแหล่งน้ำให้เร็วที่สุด”

“เจ้าวางใจเถิด” ชิงเหยียนรับถุงผ้าไปแจกจ่ายให้กับเจียงไห่ เยว่โกว อาเว่ย และเหลือไว้ให้ตนเองอีกหนึ่งถุง

ดรุณีผู้นี้กังวลไปเปล่าๆ ชายฉกรรจ์หยาบกร้านเช่นพวกเขามีหรือจะปล่อยให้ตัวเองอดตายอยู่กลางป่าลึก? แต่เพราะอวี๋หวั่นลงมือจัดเตรียมด้วยตนเอง พวกเขาจึงรับมาด้วยความทะนุถนอมหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง

คนจากจวนประมุขหญิงก็เดินทางขึ้นเขาเช่นกัน โอกาสที่ขบวนของทั้งสองฝ่ายจะพบเจอกันเป็นไปได้สูง ดังนั้นอวี๋หวั่นจึงให้ชายชราปลอมตัวให้เจียงไห่ ชิงเหยียน และเยว่โกว ส่วนอาเว่ย ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเคยพบเขาที่วิหารพิษมาแล้วคราหนึ่ง แต่ไม่ทราบว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน

อวี๋หวั่นเดาไม่ผิด เธอส่งอาเว่ยเข้าเขาพิษก่อนเพียงก้าวเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นรถม้าของจวนประมุขหญิงก็มาถึงวิหารพิษ

เธออุ้มบุตรชายขึ้นรถม้า และแหวกม่านมองออกไปด้านนอกผ่านช่องเล็กๆ

ทันใดนั้นปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งก็สังเกตเห็นรถม้าที่ปรากฏตัวอยู่ในวิหารพิษแห่งนี้ จึงเรียกผู้ดูแลวิหารพิษคนหนึ่งมาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

ผู้ดูแลวิหารกล่าวว่า “ปรมาจารย์พิษอาวุโสน้อยต้องการฝึกกู่ จึงให้เหล่าปรมาจารย์พิษเข้าไปจับแมลงให้พวกเขา”

แมลงพิษในเขาพิษแข็งแกร่งกว่าภายนอกมาก ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งจึงไม่ได้สงสัยใดๆ นำปรมาจารย์พิษที่ติดตามสามคนเข้าไปยังเขาพิษ

อวี๋หวั่นก็พาเด็กๆ กลับไปยังจวนเห้อเหลียน

เมื่อไปถึงครึ่งทาง ไข่ดำทั้งสามก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงตะโกนขายถังหูลู่ พลันยื่นหัวทั้งสามออกไปนอกหน้าต่าง น้ำลายสอด้วยความอยากกิน

อวี๋หวั่นให้สารถีจอดรถไว้ข้างทาง หันไปลูบหัวน้อยๆ ของทั้งสามและกล่าวว่า “แม่จะลงไปซื้อถังหูลู่สักหน่อย พวกเจ้ารออยู่บนรถม้าดีๆ อย่าเดินเถลไถลไปที่ใด รู้หรือไม่?”

ทั้งสามพยักหน้าอย่างบ้องแบ๊ว

อวี๋หวั่นลงจากรถม้าเดินไปด้านหน้าร้านขายถังหูลู่ ถังหูลู่แช่แข็ง ส้มเคลือบน้ำตาล พุทราจีนเคลือบน้ำตาล องุ่นเคลือบน้ำตาล เอาอย่างละสามไม้ เธอเห็นว่าร้านนี้มีก้อนข้าวเหนียวมูนเล็กๆ ขายด้วย ด้านบนของก้อนข้าวเหนียวมูนโรยด้วยผงน้ำตาลสีเหลืองชั้นหนึ่ง เธอกัดชิมคำหนึ่ง รสชาติของมันคล้ายกับหลูต๋ากุ่น[1]ในโลกก่อนที่เธอเคยกิน เพียงแต่ด้านในไม่ใส่ถั่วแดงบดเท่านั้น

อวี๋หวั่นซื้อมาห้ากล่อง ย่าทวดหนึ่งกล่อง ท่านลุงใหญ่หนึ่งกล่อง เด็กๆ หนึ่งกล่อง เยี่ยนจิ่วเฉาหนึ่งกล่อง ส่วนกล่องสุดท้ายเป็นของฝูหลิงกับจื่อซู

เจ้าของร้านเห็นว่าเธอซื้อเยอะ จึงให้เพิ่มไปอีกกล่องหนึ่ง

อวี๋หวั่นเดินถือถุงอาหารน้อยใหญ่กลับไปที่รถม้า กลับไม่คาดว่าจะได้พบเจอกับแขกไม่ได้รับเชิญ

“โอ้ ข้าก็นึกว่าใคร? ที่แท้ก็คนบ้านนอกอย่างเจ้านี่เอง” เด็กผู้หญิงในชุดสีชมพูเดินเข้ามาหาอวี๋หวั่นด้วยท่าทางหยิ่งผยอง หากไม่ใช่องค์หญิงน้อยผู้สูงส่งไม่มีใครเทียมจะเป็นใครได้อีก?

วันนี้องค์หญิงน้อยมาตรวจสอบความคืบหน้าของชาดอีกครั้ง บังเอิญที่ร้านขายขนมตั้งอยู่ตรงข้ามร้านขายชาด จึงพบกันโดยไม่คาดคิด แต่วันหนึ่งมีสิบสองชั่วยามยังพบกันได้คงเป็นโชคชะตา แต่จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่อาจทราบได้

วันนี้ทั้งสองต่างสวมชุดสตรี องค์หญิงน้อยรู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นลูกสะใภ้ที่บากหน้าไปขออาศัยกับญาติในอำเภอเล็กๆ จึงไม่ได้แปลกใจ อวี๋หวั่นคร้านจะสนใจนาง อวี๋หวั่นจึงทำเป็นจำนางไม่ได้

นางหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ “ทำไม? ข้าแต่งตัวเป็นสตรีเข้าหน่อย ก็จำไม่ได้แล้วรึ?”

อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเมินเฉย “ทักษะปลอมตัวห่วยๆ แบบนั้นของเจ้า นอกจากตัวเองแล้ว ก็คงไม่อาจตบตาใครได้”

“เจ้า!” องค์หญิงน้อยสำลักด้วยความโกรธ “เจ้ากล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับข้า? รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”

อวี๋หวั่นยิ้มจางๆ “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”

องค์หญิงน้อยทำฮึดฮัด “ข้ารู้แน่นอน! เจ้ามิใช่หญิงในหมู่บ้านที่เดินทางมาแสดงตัวเป็นญาติหรอกรึ? นกป่าไม่อาจเปลี่ยนเป็นหงส์! พระพุทธรูปโคลนปั้นคิดว่าตนเป็นพระใหญ่ที่สูงส่ง! เจ้าอย่าได้ทำตัวให้น่าขันอีกเลย!”

เมื่ออวี๋หวั่นได้ฟังคำพูดของนาง ก็หาได้โกรธเคืองใดๆ กลับยิ้มตอบไป “นี่องค์หญิงน้อยกำลังกล่าวถึงข้า หรือว่าถึงตัวเองกันแน่? ข้าเป็นญาติที่มาจากบ้านนอกไม่ผิดเพี้ยน แต่อย่างน้อยข้าก็เป็นญาติ เหตุใดข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงอย่างท่านหาใช่เลือดเนื้อที่แท้จริงของประมุขหญิงกับราชบุตรเขย ข้าเป็นนกป่า แล้วองค์หญิงเล่าเป็นสิ่งใด?”

“เจ้านี่มัน! กล้าดีอย่างไรมาเทียบกับข้า! แม่ของข้าคือตี้จีแห่งหนานจ้าว!” สิ่งที่องค์หญิงน้อยสนใจมากที่สุดคือคำพูดที่คนอื่นบอกว่านางไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของบิดาและมารดา แม้ว่าบิดามารดาจะมอบความรักให้นางอย่างเพียงพอก็ตาม นางโกรธแค้นจนไม่รู้จะพูดอย่างไร จึงยกประมุขหญิงขึ้นมาอ้าง

หากเป็นคนอื่นก็คงกลัวจนหัวหด ทว่าอวี๋หวั่นมิได้หวั่นไหวแม้เพียงน้อยนิด “จริงหรือ? ตี้จีแห่งหนานจ้าวเลี้ยงบุตรสาวให้เป็นคนหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่าเช่นนี้หรอกหรือ?”

ลมหายใจขององค์หญิงน้อยถึงกับหยุดชะงัก “ผู้ใดหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่า?”

อวี๋หวั่นมองเข้าไปในดวงตาของนางผ่านๆ “หรือว่าไม่ใช่? ข้ากับองค์หญิงไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน แต่องค์หญิงพบข้าก็เอาแต่ด่าทอว่าร้าย ทำราวจะฉีกร่างข้าเป็นชิ้นๆ เพื่อคลายความเกลียดชังในใจเจ้า ขอถามองค์หญิง หากนี่ไม่ใช่หักด้ามพร้าด้วยหัวเข่าจะเป็นสิ่งใดได้?”

องค์หญิงน้อยสะอึกกับคำพูดของอวี๋หวั่น รอบด้านเริ่มค่อยๆ ถูกห้อมล้อมไปด้วยชาวบ้าน หากยังดื้อดึงกัดเธอไม่ปล่อย เกรงจะได้ชื่อว่าหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่าเข้าจริงๆ น่าเกลียดชังยิ่งนัก! เห็นชัดๆ ว่าสามีของสตรีผู้นี้ทำให้หลินจืออูซานของนางตาย แล้วยังมาแย่งหลินจือแดงของนางไปอีก นางเพียงแค่คิดจะสอนบทเรียนเล็กๆ น้อยๆ ให้เธอก็เท่านั้น แต่กลับถูกเธอพูดจนไม่เหลือความเป็นธรรมโดยสิ้นเชิง

ไยสตรีผู้นี้ถึงปากเก่งถึงเพียงนี้!

“หากไม่มีเรื่องใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน” อวี๋หวั่นก้มหน้าเล็กน้อยอย่างสุภาพ แล้วถือของขึ้นรถม้าไป

องค์หญิงน้อยหมดอารมณ์จะไปดูชาด เดินขึ้นรถม้ากลับจวนด้วยใบหน้าดำมืด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]