หานจิ้งซูเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่ได้รับการปลูกฝังมารยาทของชนชั้นสูงตั้งแต่ยังเล็ก ที่นางเอ่ยว่าจะไปส่งด้วยตนเอง ก็ไม่เหมือนอวี๋หวั่นที่ยกถาดไปให้ด้วยตนเอง ความจริงการเข้ากันและรสนิยมของอวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉานั้น ตระกูลผู้สูงศักดิ์ไม่อาจเลียนแบบได้เลย
หานจิ้งซูอยู่ด้านหน้า ลวี่เอ้อถือถาดเดินตามอยู่ด้านหลัง สองนายบ่าวมุ่งหน้าไปที่เรือนของเยี่ยนไหวจิ่ง
เรือนของเยี่ยนไหวจิ่งจะว่าไกลก็ไม่ไกล อย่างไรก็เป็นสามีภรรยากัน ไหนเลยเรือนทั้งสองจะตั้งไว้ห่างจนไม่อาจพบหน้ากันชั่วชีวิต?
เพียงแต่ขณะที่หานจิ้งซูกำลังผ่านสะพานข้ามสระบัวเล็กๆ บังเอิญเห็นเงาดำด้านหลังภูเขาจำลอง เงานั้นแวบผ่านไปเร็วจนน่าประหลาด
หานจิ้งซูหยุดชะงัก
เงานั้นไม่ได้สังเกตเห็นนาง แต่นางกลับเห็นว่าเงานั้นมุ่งหน้าไปทางสวนทิศตะวันออก
ทิศตะวันออก?
นั่นไม่ใช่ที่ที่เหล่าผู้ช่วยอาศัยอยู่หรอกหรือ?
เยี่ยนไหวจิ่งยึดมั่นความจริงใจ ผู้ช่วยในจวนที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ มีถึงยี่สิบสามสิบคน ล้วนอาศัยอยู่ทางตะวันออกจวน จวนรัชทายาทกว้างใหญ่พอ ไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะอยู่กันอย่างแออัด เพียงแต่จวนที่ผู้ช่วยอาศัยอยู่ก็ถูกแบ่งตามความแข็งแกร่งและการได้รับความเคารพยามอยู่ต่อหน้าเยี่ยนไหวจิ่ง ผู้ช่วยขั้นสามอยู่เรือนเหมย ผู้ช่วยขั้นสองแบ่งกันไปที่เรือนจู๋และเรือนหลัน ผู้ช่วยขั้นหนึ่งมีเรือนเดี่ยวของตนเองได้
ชายสวมชุดคลุมที่เคยขัดแย้งกับหานจิ้งซูเป็นผู้ช่วยระดับสูงคนหนึ่ง เขาอาศัยอยู่ในหอวั่งเยว่ มีองครักษ์และคนของตน เงาที่ผ่านไปเมื่อครู่คล้ายกับลูกน้องคนสนิทคนหนึ่งของเขายิ่งนัก
อาจเพราะหานจิ้งซูมีอคติต่อคนผู้นี้ นางมักรู้สึกว่าลูกน้องผู้นั้นดูลับๆ ล่อๆ ดูไม่เหมือนกำลังทำเรื่องดีอะไร!
“ข้านึกขึ้นได้ว่าลืมของ เจ้านำแกงไก่ตุ๋นโสมไปส่งให้องค์รัชทายาทก่อน ข้ากลับไปหยิบของแล้วจะตามไป”
“หากไม่รีบร้อน ให้บ่าวไปหยิบให้เถอะเจ้าค่ะ”
“รอให้เจ้าถือไปหยิบของกลับมา แกงก็คงจะเย็นแล้ว”
“เอ่อ…ก็ได้เจ้าค่ะ” ลวี่เอ้ออยากเอ่ยว่า ข้าคิดจะนำแกงไปส่งให้องค์ชายก่อน จากนั้นจึงค่อยกลับเรือนไปหยิบของให้ ทว่าในเมื่อนายสั่งเช่นนี้ เช่นนั้นก็ทำตามที่ท่านกล่าวเถิดเจ้าค่ะ
“เดินระวังนะเจ้าคะ” ลวี่เอ้อเอ่ยพลางมองท้องของนาง
หานจิ้งซูพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เจ้ารีบนำแกงไปส่งให้องค์รัชทายาทเถิด”
ลวี่เอ้อเดินไปพร้อมกับแกงไก่ตุ๋นโสม
เมื่อแน่ใจว่าลวี่เอ้อหันหลังเดินหายไปจนสุดทาง หานจิ้งซูก็ยกกระโปรงเดินไปที่หอวั่งเยว่อย่างระแวดระวัง
เยี่ยนไหวจิ่งไว้วางใจผู้ช่วยท่านนี้มาก นอกหอวั่งเยว่จึงไม่มีองครักษ์เฝ้าจวน คนของเขาเองก็ไม่ได้เฝ้าประตู คงไม่คิดว่าในจวนรัชทายาทจะมีภัยคุกคามต่อพวกเขา จึงไม่ได้มีการป้องกันเช่นนั้น
ความจริงหากหานจิ้งซูไม่ได้ตามมาด้วยความอยากรู้ หอวั่งเยว่ก็ยังไม่มีผู้ใดบุกเข้าไปข้างในโดยไม่ได้รับอนุญาต
หานจิ้งซูแอบย่องเข้าไปในเรือน
นางไม่เคยมาที่หอวั่งเยว่ จึงไม่แน่ใจว่าผู้ช่วยผู้นั้นอาศัยอยู่ห้องใด แล้วลูกน้องลับๆ ล่อๆ ผู้นั้นไปที่ใดกันแน่
ขณะที่นางยังทำอะไรไม่ได้ ก็มีเสียงทุ้มต่ำดังมาจากหัวมุม
“คราวนี้ตรวจพบสิ่งใดบ้าง?”
นั่นก็คือผู้ช่วยที่สวมเสื้อคลุมผู้นั้น!
หานจิ้งซูเห็นเขาจากระยะไกลครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นเขาไม่ได้คารวะหานจิ้งซู ทว่าหลังจากนั้น หานจิ้งซูและเยี่ยนไหวจิ่งนั่งรถม้าออกจากจวนด้วยกัน ก็ได้ยินเสียงเดียวกันนี้ เมื่อนางเปิดม่านมองออกไป อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้ว ทว่ามองจากเงาหลัง หานจิ้งซูบอกได้ว่าเขาก็คือผู้ช่วยที่สวมเสื้อคลุมผู้นั้น!
“เรียนใต้เท้า บัดนี้ยังไม่พบขอรับ”
“ไม่พบอีกแล้วหรือ? นานเช่นนี้แล้วก็ยังหาไม่พบ?”
คนที่ถูกถามต้องเป็นเงาที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เมื่อครู่นี้แน่ ฟังบทสนทนาของทั้งสองคน ดูเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง พวกเขากำลังหาสิ่งใด? แล้วกำลังหาที่ใด? จวนรัชทายาท? เมืองหลวง?
หานจิ้งซูไม่มีคำตอบ แต่ที่แน่ๆ แรงจูงใจในการมาจวนจิ้งอ๋องไม่ธรรมดา ดูภายนอกคล้ายมาพึ่งพิงเยี่ยนไหวจิ่ง ทว่าแท้จริงกำลังตามหาสิ่งที่พวกเขาเอ่ยถึง
“ใต้เท้า หลายปีแล้ว ท่านคิดว่า…ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะถูกคนผู้นั้นกลั่นไปแล้วหรือไม่?”
เป็นเสียงของลูกน้องที่เอ่ยอีกครั้ง
หมูผสมที่เหลือ[1]?
พวกเขากำลังหาหมู?!
ไม่สิ หมูจะถูกกลั่นได้อย่างไร? กลั่น…น้ำมันหมู?
เวลานี้ ผู้ช่วยที่สวมเสื้อคลุมเอ่ยต่อว่า “คิดจะกลั่นไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น? ต่อให้มีความสามารถยิ่งใหญ่เทียมฟ้า แต่หากไม่ใช่คนเผ่าเรา ไม่มีสายเลือดของเผ่าเรา ก็ไม่มีทางจะกลั่นไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้”
คนในเผ่า? สายเลือด?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]