นางเจียงกล่าวราวกับว่าเป็นเรื่องจริง สมจริงเสียจนหน่วยกล้าตายคนที่ถูกชี้ตัวนั้นนึกสงสัยขึ้นมาว่าตนเองอาจจะลักพาตัวนางไปจริง
หน่วยกล้าตายเกาศีรษะใช้ความคิดอย่างหนัก
นายท่านรองใหญ่โมโหสุดขีด เจ้าคิดว่าเจ้าทำจริงรึ?!
ทางด้านหนึ่งนางเจียงก็ยืนกรานว่าหน่วยกล้าตายของนายท่านรองใหญ่เป็นคนลักพาตัวนางไป อีกด้านหนึ่ง นางหลี่กับลูกๆ รวมไปถึงอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาก็รู้เรื่องแล้วเช่นกัน
“ท่านแม่ข้าจับคนร้ายได้แล้วหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
จื่อซูพยักหน้า “บ่าวได้ยินบ่าวจวนตะวันตกบอกว่าตอนนี้จวนตะวันตกเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
อวี๋หวั่นลูบคาง “ในเมื่อท่านแม่จำคนร้ายได้ พวกเราก็จะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว ต้องไปเค้นเอาคำอธิบายสักหน่อย ไปเร็ว!”
อวี๋หวั่นจูงข้อมือสามีของตนออกไปยังจวนตะวันตกอย่างรีบร้อน
นางหลี่และลูกทั้งสองมาถึงเรือนของนายท่านรองใหญ่ อวี๋หวั่นก็เพิ่งก้าวเท้าข้ามประตูเข้ามาก็ได้ยินเสียงแหลมของนางหลี่ “ข้าวกินมั่วๆ ได้! แต่คำพูดไม่อาจพูดมั่วๆ ได้! พวกเจ้าใส่ร้ายอารองของพวกเจ้าเช่นนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่?”
อวี๋หวั่นถูกเสียงเล็กแหลมเสียดโสตประสาททำให้หูชาไปหมด จนเธอต้องส่ายหน้าน้อยๆ
เยี่ยนจิ่วเฉายังคงมีสีหน้าไม่ยี่หระ ทั้งสองเดินเข้าไปในห้อง ด้านในมิได้มีเพียงนายท่านรองใหญ่และพวกนางหลี่ สามพี่น้องจากจวนตะวันตกก็อยู่เช่นกัน พวกเขาเจอเห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงหลายครั้งแล้ว ส่วนเห้อเหลียนเฟิงนั้นพบกันอย่างผิวเผิน ไม่นับว่าคุ้นเคย
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็นึกได้ว่าครั้งก่อนที่เห้อเหลียนเฟิงมายังจวนตะวันออก สามีของเธอไม่อยู่ในเหตุการณ์ จึงส่งสายตาให้เยี่ยนจิ่วเฉาแล้วบอกว่า “คนที่สวมชุดสีน้ำเงินเข้มคือเห้อเหลียนเฟิง หลานชายคนโตของนายท่านรองใหญ่”
เห้อเหลียนเฟิงหน้าตาละม้ายคล้ายกับเห้อเหลียนฉี เพียงแต่ได้รูปร่างหน้าตาของนางหลี่มาบ้าง จึงนับว่าหล่อเหลากว่าเห้อเหลียนฉีมาก
เมื่อเยี่ยนจิ่วเฉาได้ยินที่อวี๋หวั่นพูด ก็เหลือบมองเห้อเหลียนเฟิง
บังเอิญเหลือเกิน ทันทีที่ทั้งสองคนเดินเข้ามา สายตาของเห้อเหลียนเฟิงก็ทอดมองออกไปด้านนอก ทำให้เขาสบสายตากับเยี่ยนจิ่วเฉาเข้าพอดี สายตานั้นดูไม่ยี่หระและว่างเปล่า ราวกับว่าหากอวี๋หวั่นไม่ได้แนะนำตั้งแต่แรก คนผู้นี้ก็คงไม่คิดจะมองเขา
การรู้จักกับคนประเภทนี้ทำให้ความรู้สึกแปลกประหลาดถาโถมขึ้นมาในใจของเห้อเหลียนเฟิง
หลังจากที่เห้อเหลียนเซิงถูกขับออกจาตระกูล เห้อเหลียนเฟิงจึงกลายเป็นหลานชายคนโตแห่งจวนแม่ทัพใหญ่ ในฐานะที่เป็นหลานชายคนโตของจวนตะวันตก เห้อเหลียนเฟิงปราดเปรื่องทั้งการเรียนและวิชายุทธ์ ผู้คนต่างชื่นชมและอิจฉา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับสายตาหมางเมินเช่นนี้
อย่างไรก็ดี ในตอนนี้เห้อเหลียนเฟิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ นางหลี่เริ่มเปิดฉากโวยวายในห้องแล้ว
นางหลี่เรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเองว่า “พวกเจ้าตอบมาสิ! เป็นใบ้หรืออย่างไร! พวกเจ้าจะทำอะไร คิดว่าข้าไม่รู้รึ? ทนไม่ได้ที่จวนตะวันตกจะได้ไปเซ่นไหว้บรรพชน จึงพยายามทำทุกหาทางเพื่อขัดขวางใช่ไหมเล่า?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เห้อเหลียนเป่ยหมิงตอบ
ทว่าเขายังไม่ทันพูดจบ นางหลี่ก็ตัดบทขึ้นมาว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นอะไร? ก่อนหน้านี้ไม่ได้ดีอยู่แล้วหรอกหรือ? เขาไม่ได้ตายไปแล้วหรือ? อยู่ๆ ก็มีหลานโผล่มา? จากนั้นก็มีลูกโผล่มาอีก? ก่อนหน้านี้พวกเจ้าบอกว่าอย่างไร! พี่รองกับพี่สะใภ้รองตายในตำบลชิงเหอ ทิ้งลูกชายเอาไว้คนเดียว แล้วอยู่ๆ พี่รองกับพี่สะใภ้รองก็โผล่มา! บอกว่าก่อนหน้านี้กำลังหนีหนี้จึงบอกว่าตายไปแล้ว! คำแก้ตัวเฮงซวยเช่นนี้ใครจะไปเชื่อ!”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเริ่มรู้สึกขุ่นเคือง
ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าน้องชายยังมีชีวิตอยู่นี่…
หากนางหลี่กล่าวมาเพียงเท่านี้ ก็นับว่านางได้เปรียบแล้ว แต่นางกลับยังไม่หยุด “ทั้งยังมีเรื่องที่นายท่านถูกลอบทำร้ายอีก! เรื่องก็เกิดที่จวนตะวันออกของพวกเจ้า ตอนนี้ข้าลองคิดๆ ดูแล้ว เรื่องนี้ก็คงไม่ง่าย! บางทีพวกเจ้าอาจปองร้ายนายท่านมาตลอดเลยก็ได้!”
อวี๋หวั่นเดินเข้าไป “อาสะใภ้ ท่านพูดเช่นนี้เป็นการกล่าวหาพวกเรานะเจ้าคะ เรื่องที่นายท่านถูกทำร้ายได้อย่างไรไม่สู้ให้เขาบอกท่านเองดีกว่าหรือ แต่เกรงว่าเขาจะไม่กล้าพูด”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน?” นางหลี่ตวาด
อวี๋หวั่นไม่ยอมปล่อยให้ความเดือดดาลของนางหลี่มาบีบคั้นเธอได้ จึงพูดออกไปว่า “อาสะใภ้รู้หรือไม่เจ้าคะว่าแท้จริงแล้วใครเป็นคนส่งคนร้ายมาลอบสังหารท่านลุงใหญ่? คนนั้นก็คือนายท่านรองใหญ่ เขาปลอมลายมือของเห้อเหลียนเซิง หลอกให้ท่านลุงใหญ่ออกไปข้างนอก หลังจากนั้นก็ให้คนร้ายปลอมเป็นเห้อเหลียนเซิง แล้วอาศัยจังหวะที่ท่านลุงใหญ่ไม่ได้ตั้งตัว แทงเขาไปหนึ่งที หากไม่ใช่เพราะลุงใหญ่โชคดี ป่านนี้ป้ายชื่อของเขาได้ไปอยู่ในศาลบรรพชนแล้ว”
“เจ้า…มากไปแล้วนะ!” นางหลี่ไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง “เจ้ากุเรื่องขึ้นมาเป็นแน่!”
ผู้ที่ตกตะลึงพรึงเพริดยิ่งกว่านางหลี่ก็คือเห้อเหลียนเป่ยหมิง
อวี๋หวั่นรู้ว่าเรื่องนี้น่าตกใจ และรู้ว่านี่เป็นความจริงที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้ในชั่วข้ามคืน แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป “นายท่านรองใหญ่ยอมรับต่อหน้าเห้อเหลียนเฉาแล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เขาพูดอย่างนั้น”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพูดไม่ออก
นางหลี่ยังไม่ยอม “พวกเจ้า…พวกเจ้าโกหก! พวกเจ้ารวมหัวกันใส่ร้ายนายท่าน! พวกคนใจโฉดโหดเหี้ยม!”
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกข้าจะไปใส่ร้ายเขาทำไม? ใส่ร้ายเขาไปแล้วได้ประโยชน์อะไร? นายท่านรองจวนตะวันออกกลับมาแล้ว เขาเป็นทายาทของสกุลเห้อเหลียน พวกข้าไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำ แค่นอนเฉยๆ ก็ชนะแล้ว ทำไมจะต้องเปลืองแรงปองร้ายนายท่านรองใหญ่ หาเรื่องใส่ตัวด้วยเล่า?”
นี่เป็นเรื่องจริง หากจะบอกว่ามีเห้อเหลียนเฉาเพียงคนเดียว การลอบสังหารเพราะต้องการครอบครองจวนตะวันตกก็คงฟังขึ้นมากกว่านี้ ชื่อของเห้อเหลียนเป่ยอวี้ปรากฏอยู่ในพงศาวลีของตระกูล ทั้งยังเป็นน้องชายแท้ๆ ของเห้อเหลียนเป่ยหมิง หากจะกล่าวก็คงไม่เกินจริงว่าเขาเพียงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สิทธิ์ในการครอบครองมรดกก็ยังคงเป็นของเขาอยู่ดี จวนตะวันออกไม่มีทางลงมือกับจวนตะวันตก
อวี๋หวั่นค่อยๆ ก้าวไปด้านหน้า “ถ้าหากอาสะใภ้ยังไม่เชื่อ ข้าใคร่อยากจะย้ำเตือนท่านสักหน่อย ใส่ร้ายเขา? เขาคู่ควรถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ครานี้เป็นนางหลี่ที่พูดไม่ออก
ว่าตามเหตุผลแล้ว นางหลี่ยอมรับสิ่งที่อวี๋หวั่นพูด แต่เมื่อว่ากันตามความรู้สึก นางหลี่ยังไม่อยากถอยหลังกลับ นางฝันอยากเป็นนายหญิงมานานถึงเพียงนี้ ไฉนความฝันกลับสลายสิ้นในชั่วพริบตาเดียว?
อวี๋หวั่นไม่ปล่อยให้นางหายใจหายคอ จึงเชือดเฉือนด้วยคำพูดว่า “แล้วก็ เกรงว่าเรื่องร้ายแรงที่นายท่านรองใหญ่ทำคงจะไม่ได้มีเพียงลอบสังหารแม่ทัพใหญ่และลักพาตัวฮูหยินรอง แต่ที่นายท่านรองตกเขาในปีนั้น เรื่องที่วรยุทธ์ของท่านลุงใหญ่เกิดธาตุไฟเข้าแทรก รวมไปถึงเรื่องของฮูหยินใหญ่และเห้อเหลียนเซิงก็หนีไม่พ้นนายท่านรองนี่แหละ!”
“เจ้า… เจ้า…” นางหลี่โมโหจนแทบหงายหลัง!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]