การตระหนักรู้ในครั้งนี้ทำให้ขันทีหวังแทบจะร้องออกมา ทว่ากิริยามารยาทและธรรมเนียมที่บ่มเพาะมาจากในวังทำให้เขาจำต้องกระเดือกมันลงคอไป
จะว่าไป ขันทีหวังก็เคยเห็นตี้จีองค์โต และมิได้เคยเห็นเพียงครั้งเดียว แต่เพราะเหตุใดเขาจึงจดจำอีกฝ่ายไม่ได้ในครั้งแรกที่เห็นน่ะหรือ นั่นก็เพราะสองครั้งนั้นที่พบกันนั้นช่างฉุกละหุกเหลือเกิน
ครั้งแรกก็คือเมื่อตี้จีองค์โตอายุประมาณสามสี่ขวบ ได้ติดตามนักบวชของเผ่าปีศาจมายังวังหลวง ครั้งนั้นเขาเองก็ยังเด็กอยู่ อายุประมาณเจ็ดแปดขวบเห็นจะได้ เขาเห็นกับตาว่าตี้จีองค์โตสวมหน้ากากเดินตรงมาหาองค์ประมุข องค์ประมุขจำนางไม่ได้ เพียงแต่พระองค์ดูเหมือนจะสนใจ เหมือนกับในวันนี้ที่พระองค์สนใจเด็กน้อยคนนั้น พระองค์ยื่นมือออกไป โดยมิได้คาดคิดว่าอยู่ๆ ตี้จีองค์เล็กจะวิ่งออกมาแล้วผลักตี้จีองค์โตให้ล้มลงกับพื้น
เขารู้ก็เพราะว่าเขาบังเอิญได้ยินเด็กคนนั้นบอกกับนักบวช
ความลับนี้ถูกเก็บงำอยู่ในใจมาตลอด ไม่เคยบอกผู้ใด
ครั้งที่สองที่ได้พบกับตี้จีองค์โตก็ครั้นส่งตัวนางไปเข้าพิธีสมรส เดิมทีนางเติบโตในเผ่าปีศาจ ที่เรียกว่าส่งตัวไปเข้าพิธีสมรสนั้น แท้จริงแล้วหมายถึงการนำสินสมรสอันน้อยนิดให้นางติดตัวกลับไปยังเผ่าปีศาจ อย่างไรเสียหนานจ้าวก็ได้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าพวกเขาอีก
เขาเพียงเห็นตี้จีองค์โตจากระยะไกลเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น
ทว่าเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว เขากลับจำได้จนถึงทุกวันนี้
ตี้จีองค์โตและตี้จีองค์เล็กอายุเท่ากัน เมื่อครู่เด็กคนนั้นน่าจะอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดเห็นจะได้ นางเหมือนกับตี้จีองค์โตในปีนั้นราวกับเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน แต่ไม่มีทางเป็นตี้จีองค์โตไปได้
ทว่าหน้าตาเหมือนกันเพียงนั้น ไม่แน่ว่าอาจมีความสัมพันธ์กัน?
“เยี่ยนหวั่น” ขันทีหวังพึมพำชื่อของอีกฝ่าย พลางมองไปยังจวนด้านข้าง หากจำไม่ผิด นั่นคือจวนตะวันออกของสกุลเห้อเหลียนไม่ใช่หรือ?
“พึมพำอะไร?” องค์ประมุขเหลือบมองพลางตรัสถาม
ขันทีหวังตั้งสติได้ ก็กระแอมเล็กน้อย “ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ ฮูหยินเมื่อครู่บอกว่านางชื่อเยี่ยนหวั่น อยู่จวนข้างๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีหวังตัดสินใจสืบที่มาที่ไปของแม่นางเยี่ยนหวั่นเสียก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดว่าจะบอกองค์ประมุขดีหรือไม่ หากนางไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกัน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องให้เรื่องนี้เข้าหูของงูพิษอย่างพระองค์
องค์ประมุขมิได้มีความสนใจดรุณีชาวบ้านแม้แต่น้อย เขาเหลือบมองผลไม้ลูกสีแดงของต้าเป่าเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเดินกลับห้องไป
อีกด้านหนึ่ง อวี๋หวั่นอุ้มเด็กน้อยมาถึงห้อง
ต้าเป่าผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นจึงตัดสินใจให้เขาหลับต่อ ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่วางลงบนเตียง เขาก็ตื่นขึ้นด้วยความตกใจราวกับลูกกระต่าย ดวงตากลมโตมีน้ำตาคลอเบ้าของเขากะพริบปริบๆ มองไปยังอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นคิดในใจว่าตื่นแล้วก็ดีเหมือนกัน เมื่อครู่ยังไม่อยากจัดการเขา ตอนนี้จะได้คิดบัญชีสักที
แน่นอนว่าจะจัดการกับต้าเป่าเพียงคนเดียวไม่ได้
เอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่ารู้อยู่แก่ใจว่าตนเองทำพี่ชายหายไป คนหนึ่งจึงไปหลบอยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่า อีกคนไปหลบอยู่ในห้องของนางเจียง
อวี๋หวั่นเข้าไปจับเด็กน้อยทั้งสองคนออกมาอย่างไร้ความปรานี
ทั้งเอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่าเดินคอตกตามหลังท่านแม่ไปโดยไม่อิดออด
บ่าวในเรือนเห็นท่าทางของเด็กน้อยขณะที่กำลังจะเดินไปรับการตัดสินโทษ ก็อดหลุดหัวเราะออกมาไม่ได้
“สำนึกผิดหรือยัง?” อวี๋หวั่นพาเด็กน้อยทั้งสองเข้าไปในห้อง จับไปยืนเรียงกับต้าเป่า
ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน หมายความว่าพวกเขาสำนึกผิดแล้ว
“ผิดอย่างไร?” อวี๋หวั่นถามเสี่ยวเป่าซึ่งมากแผนการที่สุด ที่พวกเขาเข้าไปหลบไม่ให้ต้าเป่าหาพบนั้นก็เป็นแผนการของเสี่ยวเป่า
เสี่ยวเป่าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ยังคงก้มหน้ามองปลายเท้าต่อไป
เป็นเอ้อร์เป่าที่ตอบว่า “ไม่ควรวิ่งหนีไป ไม่ควรหลบ ทำให้ท่านพี่หาไม่เจอ”
เจ้าขี้ประจบ!
เสี่ยวเป่าเหลือบมองเอ้อร์เป่า
อวี๋หวั่นลูบศีรษะของเอ้อร์เป่าเบาๆ “สำนึกผิดแล้วก็แก้ไขได้ ในเมื่อเอ้อร์เป่าสำนึกผิดแล้ว ต่อไปก็อย่าทำอีกรู้ไหม?”
“เข้าใจแล้วขอรับ เอ้อร์เป่าไม่ทำอีกแล้ว!” เอ้อร์เป่าตอบอย่างว่าง่ายเป็นที่สุด
เสี่ยวเป่าเบ้ปาก แล้วตอบเสียงค่อยว่า “รู้แล้วขอรับ”
“รู้จริงหรือ คำพูดปราศจากความจริงใจ ในใจมีแผนร้าย” อวี๋หวั่นจิ้มปลายจมูกของเขา จากนั้นก็จิ้มพุงกลมๆ
ของเขา จนต้าเป่ากลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่และหลุดหัวเราะออกมา
โทสะของอวี๋หวั่นถูกเสียงหัวเราะของเขาทำให้เบาบางลง
อวี๋หวั่นยังอยากจะสั่งสอนลูกๆ ต่อ เพื่อให้พวกเขารู้ว่าต่อไปไม่ควรเข้าไปในพุ่มไม้ และไม่ควรเข้าไปในบ้านของผู้อื่นตามอำเภอใจ ไหนเลยจะรู้ว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปาก นอกประตูก็มีเสียงของจื่อซูดังขึ้น “ฮูหยินน้อยเจ้าคะ พี่ใหญ่เจียงไห่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เจียงไห่?
อวี๋หวั่นพาเด็กๆ ไปยังห้องของพ่อแม่ เด็กน้อยทั้งสามเหลือบมองอวี๋หวั่นด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ อวี๋หวั่นบีบแก้มพวกเขาเบาๆ “ห้ามดื้อ แม่ให้พวกเจ้ามาหันหน้าเข้ากำแพงทบทวนตนเอง”
ทั้งสามคนยืนหันหน้าเข้ากำแพงอย่างว่าง่าย แล้วใช้ใบหน้าเจ้าเนื้อพิงกับกำแพง
“ท่านแม่ ข้าไปก่อน พวกเขาทำผิด ต้องลงโทษ” อวี๋หวั่นสั่งการเสร็จสรรพ แล้วจึงเดินออกจากสวนอูถง
ทันทีที่อวี๋หวั่นเดินออกไป ทั้งสามคนก็โผเข้าหานางเจียง
“ท่านยาย! ท่านยาย!” เสี่ยวเป่าออดอ้อนเสียจนผู้ใดเห็นก็คงต้องใจอ่อน
อวี๋หวั่นกังวลว่าทั้งสามจะคิดตุกติก และท่านแม่ของเธอก็อาจใจอ่อน เมื่อเดินออกไปได้ไม่เท่าไรก็หันกลับมามอง
ทันใดนั้นนางเจียงก็จับเด็กน้อยทั้งสามหันหน้าติดกำแพงทันที!
อวี๋หวั่นมองไปยังเด็กน้อยซึ่งกำลัง ‘หันหน้าเข้าหากำแพงสำนึกผิด’ ก็เดินพยักหน้าออกไปด้วยความพึงพอใจ ในยามจำเป็น ท่านแม่ก็มีเหตุผลเหมือนกันแฮะ
เมื่อวางใจแล้ว อวี๋หวั่นจึงเดินไปยังชีสยาย่วน
นางเจียงผู้มีเหตุผลกอดเด็กน้อยทั้งสามเอาไว้ ยืนจนเหนื่อยแล้วใช่ไหม เด็กน้อยที่น่าสงสาร โอ๋ๆๆ …
ในชีสยาย่วน อวี๋หวั่นเห็นเพียงเจียงไห่ เยว่โกว และชิงเหยียน ทั้งสามมีสีหน้าประหลาด อวี๋หวั่นกวาดสายตาไปแล้วถามว่า “อาเว่ยละ?”
เยว่โกวก้มหน้า
ชิงเหยียนกดขมับอย่างจนปัญญา
กลับเป็นเจียงไห่ที่เอ่ยปากขึ้นหลังจากเงียบอยู่พักหนึ่ง “เขาไม่ได้กลับมา”
นัยน์ตาของอวี๋หวั่นกระตุกวูบหนึ่ง “เขาไม่ได้กลับมาหมายความว่าอย่างไร? เขายังอยู่ที่สำนักราชครูหรือว่าเขาไปอยู่ที่อื่น?”
เขาไม่มีทางฝังตนเองไว้ที่นั่นแน่ อวี๋หวั่นไม่ยอมรับผลลัพธ์แบบนั้นโดยเด็ดขาด!
อวี๋หวั่นจงใจทำให้เขาเห็น
หวั่นเฟิงกระแอมเล็กน้อย ดันมือของอวี๋หวั่นไว้พร้อมกับบอกว่า “ไปคุยกันตรงนั้น!”
ในความคิดขององครักษ์ การกระทำเช่นนี้หมายความว่าหวั่นเฟิงกำลังจะรับสินบน แต่รู้สึกกระดากใจที่จะให้เขาเห็น ทำให้จำต้องหลบไปที่อื่น องครักษ์ไม่มีทางนำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มาเปิดโปงหวั่นเฟิง
หลังจากที่หวั่นเฟิงลากอวี๋หวั่นมาใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาก็มองไปรอบๆ แล้วกล่าวเสียงค่อยว่า “พระชายาซื่อจื่อ มาที่นี่ได้อย่างไร?”
อวี๋หวั่นไม่ได้ตกใจที่เขารู้ว่าเธอเป็นใคร จะมีสักกี่คนกันที่มีป้ายคู่ของเขา อีกทั้งดูจากรูปร่างลักษณะแล้ว ก็คงเดาได้ไม่ยากว่าเป็นเธอ
อวี๋หวั่นตอบว่า “อาเว่ยถูกจับไป เรื่องนี้จะไม่ถูกสาวมาถึงท่านใช่ไหม?”
พวกอาเว่ยถูกปล่อยตัวออกมา อวี๋หวั่นกังวลว่าการที่อาเว่ยถูกจับตัวไปจะทำให้สำนักราชครูตามรอยพวกเขา และตามสืบมาถึงหวั่นเฟิงซึ่งเป็นคนปล่อยตัวทั้งสี่ออกไป
อวี๋หวั่นเป็นห่วงตนเป็นอันดับแรก นั่นทำให้หวั่นเฟิงรู้สึกดีขึ้นมา เขากะพริบตาราวกับว่านัยน์ตาของเขาสื่อสารเป็นคำพูดได้ เขายิ้มแล้วตอบว่า “ข้าไม่เป็นไร ข้ารอบคอบ ไม่มีผู้ใดรู้หรอกว่าข้าเป็นคนปล่อยพวกเขา”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” อวี๋หวั่นมีสีหน้าผ่อนคลายกว่าเดิม “ข้ากลัวจริงๆ ว่าท่านจะติดหางเลขไปด้วย”
“ข้าระวังตัว” นัยน์ตาของหวั่นเฟิงเป็นประกายราวกับอัญมณีซึ่งส่องประกายวับวาบ เมื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งได้ เขาก็ปรับเป็นสีหน้าจริงจัง “แล้วก็ เด็กหนุ่มคนนั้นปากแข็งเหลือเกิน ทำอย่างไรก็ไม่ยอมพูด”
“อาเว่ย?” อวี๋หวั่นถาม
“เขาชื่ออาเว่ยหรอกหรือ” หวั่นเฟิงกล่าว “คนพวกนั้นถามอยู่นาน แม้แต่ชื่อเขาก็ไม่ยอมบอก”
อวี๋หวั่นถามว่า “เขาเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าได้ยินว่าเขาถูกยอดฝีมือจับไป เป็นยอดฝีมือของสำนักราชครูหรือ?”
“ไม่ใช่” หวั่นเฟิงส่ายหน้า “สำนักราชครูของพวกเราไม่มียอดฝีมือที่เก่งกาจเพียงนั้นหรอก เป็นคนของจวนประมุขหญิงต่างหาก”
“จวนประมุขหญิง?” อวี๋หวั่นชะงักไปราวกับกำลังใช้ความคิด “ครั้งก่อนเจียงไห่และชิงเหยียนเข้าไปในจวนประมุขหญิงไม่ได้ยินว่ามียอดฝีมือที่เก่งกว่าอาเว่ยนี่ หรือว่าข้าพลาดอะไรไป?”
อวี๋หวั่นมองไปยังหวั่นเฟิงอย่างไม่เข้าใจ
หวั่นเฟิงอธิบายว่า “องครักษ์ที่เก่งกาจที่สุดของจวนประมุขหญิงไม่ได้อยู่ที่จวนประมุขหญิง หากแต่อยู่ข้างกายองค์ชายน้อยออกเดินทางไปข้างนอก ข้าคิดว่าเขาจะกลับมาทันงานวันเกิดของประมุขหญิง แต่ได้ยินว่าเกิดเรื่องไม่คาดฝันระหว่างทาง ทำให้การเดินทางล่าช้า”
นัยน์ตาของอวี๋หวั่นกระตุกวูบหนึ่ง “ท่านหมายถึงองค์ชายน้อยที่เป็นโอรสของประมุขหญิงกับราชบุตรเขยหรือ?”
“ท่านเคยได้ยินเรื่องของเขาหรือ?” หวั่นเฟิงตกใจ
อวี๋หวั่นคิดในใจว่า ‘ข้าจะไม่เคยได้ยินได้ยังไงละ ไม่ใช่เคยได้ยินแค่ครั้งเดียวด้วย เขาเป็นน้องชายต่างมารดาของเยี่ยนจิ่วเฉา’ เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาเป็นคนอย่างไร
“หนานกงหลี” หวั่นเฟิงบอก
“หืม?” อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้น
“ชื่อของเขา” หวั่นเฟิงบอก
หนานกงหลี…
ทำไมชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูเหลือเกิน?
…………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]