แม้ว่าอวี๋หวั่นจะไม่มีความทรงจำของเมื่อก่อน แต่หลังจากอยู่ในหมู่บ้านเหลียนฮวามานาน เธอก็ได้ยินเรื่องราวมามากพอสมควร ตัวอย่างเช่นเดิมทีเธอไม่รู้หนังสือ หลังจากหายตัวไปและกลับมาเธอก็รู้หนังสือ เพราะฉะนั้นเธอจึงพอจะเดาได้ว่าในระยะเวลาหนึ่งปีที่หายตัวไป ‘ตนเอง’ เผชิญกับอะไรบ้าง
แต่สวี่ส้าวเคยขู่เธอเอาไว้ ไม่อยากรู้บ้างหรือว่าหลายเดือนนั้นเธอไปอยู่กับผู้ใดมา?
หรือว่า…จะเป็นองค์ชายน้อยแห่งจวนประมุขหญิง?
อวี๋หวั่นมองไปยังงานเขียนพู่กันซึ่งจ่ายเงินซื้อไปในราคาหนึ่งตำลึง จากนั้นก็มองไปยังตัวหนังสือบนพื้น และพลันรู้สึกว่าบนโลกนี้คงไม่มีหายนะที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว
อวี๋หวั่นเดินงุ่นง่านกลับจวนสกุลเห้อเหลียน เธอคิดจะเล่าเรื่องนี้ให้เยี่ยนจิ่วเฉาฟัง ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่ก้าวเข้าประตูไป กลับพบว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่อยู่ แม้แต่บ่าวก็ยังไม่รู้ว่าเขาไปไหน
“คุณชายใหญ่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่ให้พวกเราติดตามไปด้วยเจ้าค่ะ” จื่อซูตอบด้วยความละอายใจ
เพราะฉะนั้นการที่ลูกๆ ทั้งสามมักจะวิ่งหายไปเป็นประจำนั้นก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านพ่อของพวกเขานี่เอง ทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกผิดเล็กน้อยกับการลงโทษลูกๆ โดยให้พวกเขาหันหน้าเข้ากำแพงทบทวนตนเอง อันที่จริงเธอควรจะลงโทษคนพ่อเสียก่อน
……
แม่ลูกไม่พบกันนาน ทั้งคู่ต่างมีเรื่องให้สนทนากันมากเหลือเกิน กระทั่งองค์หญิงน้อยไปหาของขวัญมาให้พี่ชายได้แล้ว ทั้งสองก็ยังพูดคุยกันไม่จบ
หลังจากทั้งสามร่วมโต๊ะกินอาหารค่ำด้วยกัน หนานกงหลีก็พาน้องสาวซึ่งยังไม่อยากแยกจากพี่ชายไปเข้านอน ส่วนตนก็กลับไปหามารดา
แม้จะดึกแล้ว แต่ประมุขหญิงก็ยังแต่งกายเรียบร้อย แม้แต่ปิ่นปักผมก็ยังไม่มีบิดเบี้ยว
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ พยักเพยิดให้นางกำนัลออกไป จากนั้นก็พูดกับหนานกงหลีว่า “ดูเหมือนว่าเจ้ามีเรื่องอยากพูด ประจวบเหมาะพอดี ข้าก็เพิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เมื่อครู่ลืมบอกเจ้าไป”
“เรื่องอะไรหรือขอรับท่านแม่” หนานกงหลีเดินเข้าห้องมา และไม่ลืมที่จะปิดประตู
ประมุขหญิงขมวดคิ้ว “ข้าเจอเด็กในตอนนั้นแล้ว ข้าไม่มั่นใจว่าเป็นเพียงคนหน้าเหมือนกัน หรือว่าเป็นตัวเขาเอง เขาหน้าตาเหมือนกับ…ท่านพ่อของเจ้ามาก”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ประมุขหญิงก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิจฉาหรือด้วยเหตุใด
หนานกงหลีมองไปยังมารดาอย่างปราศจากความร้อนรน นั่งลงตรงที่เก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ
“เช่นนั้นหรือ?” เขาพึมพำ
เขาเป็นลูกของท่านพ่อ แต่ก็ยังหน้าตาไม่เหมือนกับท่านพ่อ
ประมุขหญิงกดหว่างคิ้ว กล่าวว่า “เขาเป็นคุณชายใหญ่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาในสกุลเห้อเหลียน แต่ข้าคิดว่าไม่ใช่ ข้าส่งคนไปสืบหาร่องรอยของเขาที่เมืองเยี่ยน แต่อยู่ๆ สองคนนั้นก็หายตัวไป”
“ตายแล้ว” หนานกงหลีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ประมุขหญิงชะงักไป “ตายแล้ว? เป็นไปได้อย่างไร? คนหนึ่งเป็นหน่วยสอดแนมความสามารถสูงไร้ผู้ใดเทียบ อีกคนหนึ่งเป็นหน่วยกล้าตายหน้ากากทอง ตอนที่พวกเขาออกจากเมืองหลวงข้ายังได้รับสาส์นจากนกพิราบของพวกเขาว่าออกจากซีเฉิงแล้ว หรือว่าต้าโจวจะมียอดฝีมือที่เก่งกาจยิ่งกว่า?”
สำหรับเรื่องนี้ ประมุขหญิงชักเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว
หนานกงหลีมองไปยังเชิงเทียนฝั่งตรงข้าม “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ใต้หล้านี้ยังมียอดฝีมือที่พวกเราคาดไม่ถึงอีกมาก”
ไม่มีผู้ใดรู้จักบุตรดีเท่ามารดา เมื่อได้ยินสิ่งที่หนานกงหลีบอก ประมุขหญิงก็เบือนหน้าไป “สองปีมานี้หลีเอ๋อร์ได้ประสบการณ์ใดมาบ้าง”
หนานกงหลียิ้มน้อยๆ “ประสบการณ์ไม่จำเป็นต้องพูดถึง แต่ยอดฝีมือข้าได้มาคนหนึ่งขอรับ ข้าจะแนะนำให้ท่านแม่รู้จักในโอกาสเหมาะสม”
นางเป็นถึงประมุขหญิง แต่ไหนแต่ไรมาผู้อื่นต้องเป็นฝ่ายรอนาง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูด คงจะถูกจับไปลงโทษตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าหนานกงหลีเป็นโอรสของนาง นางย่อมต้องไว้หน้าเขา
“ได้ แม่จะรอให้หลีเอ๋อร์จัดการ” นางบอก “ใช่สิ หลีเอ๋อร์มีเรื่องอะไรจะพูดกับแม่หรือ?”
หนานกงหลีบอกว่า “ข้าจับมือสังหารคนหนึ่งได้ ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ อีกครู่ข้าจะให้ท่านแม่สอบสวนเขา เพื่อจะได้ตามหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้แต่เนิ่นๆ”
ประมุขหญิงตอบว่า “เจ้าเดินทางมาเหนื่อย พรุ่งนี้ค่อยว่ากันเถิด อย่างไรเสียก็จับมาแล้ว คงไม่หนีไปง่ายๆ ไม่ต้องรีบร้อนสอบสวนคืนนี้”
หนานกงหลียิ้มน้อยๆ “ลูกไม่เหนื่อย ท่านแม่ไปพักก่อนเถิดขอรับ รอข้อมูลจากลูก”
“เจ้าลูกคนนี้…” ประมุขหญิงลูบใบหน้าของเขาด้วยความเอ็นดู แล้วปล่อยให้บุตรชายเดินออกไป
หลังจากหนานกงหลีออกมาจากเรือนของประมุขหญิงก็ยังมิได้รีบร้อนออกจากจวน แต่เดินมายังมุมเงียบของเรือน รถม้าสีดำสนิทซึ่งจอดอยู่นอกเรือน คนในรถม้าก็ไม่อยู่เสียแล้ว
องครักษ์ซึ่งประจำการอยู่เห็นหนานกงหลี ก็รีบเดินก้าวมาข้างหน้าและคำนับครั้งหนึ่ง “องค์ชาย”
“เขายังดีอยู่?” หนานกงหลีถาม
องครักษ์ตอบว่า “ขอรับ องค์ชาย”
หนานกงหลีกล่าวว่า “อย่าให้ใครไปรบกวนเขา และอย่าให้เขาไปรบกวนใคร”
องครักษ์อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง คำสั่งแรกยังทำได้ ทว่าคำสั่งที่สองเห็นจะยาก แต่ในเมื่อเจ้านายสั่ง เขาย่อมจำต้องปฏิบัติตาม จึงทำได้เพียงตอบไปว่า “ขอรับ องค์ชาย”
หนานกงหลียืนอยู่ที่เดิมพักหนึ่งและพาหน่วยกล้าตายออกจากจวนไป
รถม้าเคลื่อนมายังสำนักราชครู
หนานกงหลีต่างจากราชบุตรเขยผู้ซึ่งไม่นิยมความฟุ้งเฟ้อ เขาไม่รังเกียจประโยชน์จากฐานะของตน ในเมื่อเขาเป็นถึงหลานชายคนโตขององค์ประมุข หลังจากนี้ก็มีโอกาสได้เป็นองค์ชายรัชทายาท เช่นนั้นจะช้าหรือเร็วย่อมต้องได้รับการยอมรับและเทิดทูนจากอาณาประชาราษฎร์อยู่ดี
เขามิได้ให้สารถีนำรถผ่านตรอกเล็ก แต่กลับนั่งรถม้าของจวนประมุขหญิงผ่านถนนใหญ่ซึ่งเจริญและคึกคักที่สุด
เมืองหลวงช่างดาษดื่นตระการตา
เมื่อก่อน เมื่อรถม้าของเขาเคลื่อนผ่านถนนใหญ่ ผู้คนมักจะจดจำได้ง่าย และเขาก็มักจะตอบรับด้วยมารยาท ที่คือธรรมเนียมของราชวงศ์ และในฐานะที่เขาได้รับการฟูมฟักเลี้ยงดูมาเยี่ยงหลานชายคนโตขององค์ประมุข ทว่าในวันนี้กลับแตกต่างออกไป
วันนี้บนถนนนั้นเงียบสงัด ไม่รู้ว่าผู้คนหายไปไหนกันหมด
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจดังมาจากท้ายตรอกด้านขวา จากนั้นก็ตามมาด้วยความอลหม่าน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]