สวนอูถงมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับเรือนเดี่ยว หากอ้างอิงจากคำกล่าวของฮูหยินผู้เฒ่า อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วเป็นองครักษ์คนสนิทของหลานชาย พวกเขาสมควรพำนักอยู่ในสวนอูถง แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้อย่างเปิดเผยได้ ทั้งสองซึ่งเป็นบุรุษซึ่งมิใช่คนในครอบครัวจึงต้องย้ายไปอยู่ที่ชีสยาย่วนด้วยประการฉะนี้
ในชีสยาย่วน อิ่งสือซัน อิ่งลิ่ว และเจียงไห่ต่างก็เปลี่ยนชุดเรียบร้อย ส่วนชิงเหยียนและเยว่โกวเปลี่ยนชุดเป็นบ่าวธรรมดา
ก่อนหน้านี้พวกเขายังสามารถลอบเข้าไปในสำนักราชครูได้ แต่บัดนี้เมื่ออาเว่ยถูกจับไป การอารักขาของสำนักราชครูก็ยิ่งเข้มงวดขึ้น โอกาสที่จะลอบเข้าไปเป็นไปได้น้อย จึงทำได้เพียงเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย
“เอาของมาหรือยัง?” ชิงเหยียนเตือน
เจียงไห่พยักหน้า มองไปยังเยว่โกวและอิ่งสือซัน
อิ่งสือซันตอบว่า “ข้าไม่มีอะไรต้องนำไปด้วย”
เขาเป็นมือสังหาร นอกจากกระบี่ ก็มีเพียงตัวเขาเอง
อิ่งลิ่วผู้ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ไปด้วยได้แต่พึมพำด้วยความขุ่นเคือง “ไม่ให้ข้าไปจริงๆ หรือ? ข้าเก่งนะ”
“เจ้าอยู่ที่นี่คอยดูแลคุณชาย” อิ่งสือซันบอก
อิ่งลิ่วยกกระจกซึ่งพกติดตัวขึ้นมาส่อง “ก็ดี ได้ยินว่าแสงจันทร์ทำให้ผิวไหม้ได้เหมือนกัน”
อิ่งสือซัน “…”
ทุกคน “…”
การทิ้งให้อิ่งลิ่วเอาไว้กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว ครั้นอยู่ในต้าโจว หากทั้งสองไม่มีเรื่องเร่งด่วน จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่คอยอารักขาคุณชาย
อิ่งสือซันมิได้คิดมากแต่อย่างใด
ต่อให้อิ่งลิ่วผิวไหม้เกรียม…ก็ยังน่ารักอยู่ดี
อิ่งลิ่วคนน่ารักยังคงจ้องมองใบหน้าของตนในกระจกอย่างไม่ละสายตา พลางโบกมือให้คนอื่นๆ “พวกเจ้าไปได้แล้ว รีบไปจะได้รีบกลับ”
พวกเขาออกจากชีสยาย่วน แล้วนั่งรถม้าซึ่งจอดไว้หน้าประตู
รถม้าคันนี้เป็นรถม้าเทียมม้าตัวเดียวซึ่งอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันช่วยกันซื้อจากซีเฉิง นี่คือม้าพันลี้ชั้นดี วันนี้ต้องรับน้ำหนักมาก พวกเขาจึงเพิ่มม้าชนิดเดียวกันอีกหนึ่งตัว
บุรุษกำยำหลายคนช่วยกันนำผ้าไหมและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อวี๋หวั่นซื้อมาขึ้นรถ รถม้าสีดำสนิท เด็กน้อยก็ผิวเข้มหากไม่สังเกตดีๆ ก็แลดูกลืนเป็นสีเดียวกัน
ชิงเหยียนและเยว่โกวนั่งอยู่ด้านนอก เจียงไห่และอิ่งสือซันเกาะอยู่ใต้ท้องรถ
แต่ไม่รู้ว่าชิงเหยียนคิดไปเองหรืออย่างไร ม้าดูเหมือนจะใช้แรงมากสักหน่อย ยอดฝีมือที่สามารถใช้วิชาตัวเบาอย่างพวกเขาตัวหนักขนาดนั้นเชียวหรือ?
ในรถม้า เด็กน้อยทั้งสามกะพริบตาปริบๆ อย่างน่าเอ็นดู
รถม้าเคลื่อนที่เต็มกำลังไปยังประตูหลังของสำนักราชครู
“ผู้ใดกัน?” องครักษ์เอ่ยถามด้วยความเคลือบแคลงใจ
ชิงเหยียนหยิบป้ายคู่จากในอกเสื้อ แล้วกล่าวด้วยความเกรงใจว่า “ข้ามาจากร้านผ้าไหม ใต้เท้าหวั่นเฟิงต้องการผ้าและเสื้อผ้า พวกเราจึงนำมาส่ง”
องครักษ์มองไปยังป้ายคู่ จากนั้นก็ใช้ด้ามกระบี่เลิกม่านขึ้นมองผ้าด้านใน เขามองไปยังเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “เข้าไปแจ้งเรื่องนี้กับใต้เท้าหวั่นเฟิงหน่อย บอกแค่ว่าคนจากร้านขายผ้ามา”
เพื่อนร่วมงานพยักหน้า
จะโทษที่พวกเขาระแวงเช่นนี้ก็ไม่ได้ อันที่จริงสำนักราชครูก็เพิ่งจับหัวขโมยได้ หากครั้งนี้ปล่อยให้คนไร้ที่มาที่ไปเข้าไปอีก เช่นนั้นเกรงว่าพวกเขาก็คงไม่อาจทำอาชีพองครักษ์ต่อไปได้แล้ว
เพื่อนร่วมงานของเขาเดินกลับมาพร้อมกับหวั่นเฟิง
องครักษ์คำนับหวั่นเฟิง “ใต้เท้าหวั่นเฟิง”
หวั่นเฟิงอายุน้อย แต่ตำแหน่งกลับสูง เขามองไปยังผู้ที่อยู่บนรถม้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วกล่าวว่า “เป็นของที่ข้าต้องการ ทำไม? ของแค่นี้ยังต้องให้ข้ามารับเองรึ?”
องครักษ์ตอบอย่างเคารพนบนอบ “ข้าน้อยมิได้หมายความอย่างนั้น ราชครูมีคำสั่งว่าทุกที่ต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด ข้าน้อยทำไปเพื่อความปลอดภัยของสำนักราชครูก็เท่านั้นขอรับ”
หวั่นเฟิงโบกมือ “เอาเถอะ ให้พวกเขานำไปส่งให้ข้า”
“ขอรับ” องครักษ์เปิดทางให้
ชิงเหยียนบังคับรถม้าเข้าไปยังสำนักราชครู
อิ่งสือซันและเจียงไห่ปกปิดจิตสังหาร ไม่มีผู้ใดสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา แน่นอนว่าเป็นเพราะหวั่นเฟิงจงใจทำเช่นนั้น เหล่าองครักษ์จึงไม่ได้ตรวจสอบรถม้าโดยละเอียด มิเช่นนั้นต่อให้ทั้งสองจะอำพรางอย่างไร เมื่อก้มลงไปมองใต้ท้องรถย่อมต้องเห็นพวกเขา
หวั่นเฟิงมีเรือนของตนเองในสำนักราชครู ที่เขาให้รถม้าเข้าไป ก็เป็นเพราะเดาได้ว่าคนจากร้านผ้าก็คือพวกเขา ก่อนที่หวั่นเฟิงจะออกไปรับพวกเขา ก็ได้ไล่บ่าวในเรือนออกไปแล้ว
“ไม่มีคน ออกมาเถอะ!” หวั่นเฟิงบอก
อิ่งสือซันกับเจียงไห่ออกมาใต้ท้องรถ
เดิมทีหวั่นเฟิงคิดว่ามีแต่เจียงไห่ เมื่อเห็นว่ามีอิ่งสือซันมาด้วยเขาตกตะลึง
คะ…ครึ่งหน่วยกล้าตาย?
ไม่รู้ว่าหวั่นเฟิงตกใจที่พวกเขามีคนตามมาเพิ่มอีกหนึ่งคน หรือว่าตกใจที่เห็นอิ่งสือซันเป็นครึ่งหน่วยกล้าตาย
หากจะเรียกหน่วยกล้าตายว่าเป็นคนโดยสมบูรณ์ก็คงไม่อาจเรียกได้เต็มปาก พวกเขาเป็นเพียงเครื่องมือสังหารก็เท่านั้น ยามที่เครื่องมือสังหารกลายเป็นของด้อยมาตรฐาน สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็มีเพียงการถูกทอดทิ้งและถูกทำลาย
ในตอนนั้นอิ่งสือซันถูกทิ้งลงไปในกองซากศพ ผู้ที่ถูกโยนทิ้งพร้อมกับเขายังมีครึ่งหน่วยกล้าตายหมายเลขสิบเจ็ดและสิบแปด พวกเขาถูกราดด้วยน้ำมัน ทันทีที่จุดไฟก็เหลือเพียงเสียงร้องโหยหวน
อิ่งสือซันเป็นเพียงคนเดียวที่รอดออกมาได้ แต่ยังหนีไปไม่ได้ไกล ยาพิษก็เริ่มออกฤทธิ์ เขานอนรอความตายอยู่ข้างถนน ในตอนนั้นเองเยี่ยนจิ่วเฉาก็เดินผ่านมาพอดี
เยี่ยนจิ่วเฉาคุกเข่าลงพร้อมกับถามว่า “ต่อสู้เป็นไหม?”
“เป็น”
เขาตอบ
“กลัวการฆ่าคนไหม?”
“ไม่กลัว”
เขาตอบ
เขาถูกเยี่ยนจิ่วเฉาเก็บกลับไป เยี่ยนจิ่วเฉาสั่งให้หมอรักษาเขา จากนั้นเขาก็กลายเป็นองครักษ์ของเยี่ยนจิ่วเฉาไปโดยปริยาย
ระหว่างหน่วยกล้าตายซึ่งออกมาจากค่ายหน่วยกล้าตายทั้งสอง อิ่งลิ่วกลับโชคดีกว่าอิ่งสือซันมาก
เดิมทีอิ่งลิ่วถูกเลี้ยงมาเพื่อเป็นหน่วยสอดแนม มิได้ตกระกำลำบากเท่าไร ไม่ต้องดื่มยาพิษ เขาออกมาทำภารกิจ แต่สุดท้ายหลงทาง หาทางกลับไม่ถูก ทำได้เพียงนั่งกุมศีรษะร้องไห้อยู่ข้างทางพร้อมกับกระป๋องใส่เศษเงิน
นั่นเป็นครั้งแรกที่อิ่งสือซันเห็นหน่วยกล้าตายร้องไห้
ท่าทางงอแงของเขาดูน่าขันเหลือเกิน
เมื่อเทียบกันแล้ว อิ่งลิ่วจะนับว่าเป็นหน่วยกล้าตายของแท้ ฐานะเขาสูงกว่าอิ่งสือซัน ทว่าอิ่งลิ่วไม่เหมือนกับหน่วยกล้าตายแม้แต่น้อย นัยน์ตาของเขาปราศจากจิตสังหาร ทั้งยังเป็นคนจิตใจดีอีกด้วย
อิ่งสือซันลงมาจากรถม้า เขาก็ไม่ได้ปกปิดจิตสังหารอีก หวั่นเฟิงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรงซึ่งทำให้รู้สึกราวกับขาดอากาศหายใจ
เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายจึงเดินทางมาด้วย แม้ว่าจะเป็นเพียงครึ่งหน่วยกล้าตาย กระนั้นวรยุทธ์ของเขาเห็นทีจะสูงที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด
เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจหรอกหรือ? เป็นแค่ครึ่งหน่วยกล้าตาย เก่งกาจถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]