หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 259

สวนอูถงมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับเรือนเดี่ยว หากอ้างอิงจากคำกล่าวของฮูหยินผู้เฒ่า อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วเป็นองครักษ์คนสนิทของหลานชาย พวกเขาสมควรพำนักอยู่ในสวนอูถง แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนี้ได้อย่างเปิดเผยได้ ทั้งสองซึ่งเป็นบุรุษซึ่งมิใช่คนในครอบครัวจึงต้องย้ายไปอยู่ที่ชีสยาย่วนด้วยประการฉะนี้

ในชีสยาย่วน อิ่งสือซัน อิ่งลิ่ว และเจียงไห่ต่างก็เปลี่ยนชุดเรียบร้อย ส่วนชิงเหยียนและเยว่โกวเปลี่ยนชุดเป็นบ่าวธรรมดา

ก่อนหน้านี้พวกเขายังสามารถลอบเข้าไปในสำนักราชครูได้ แต่บัดนี้เมื่ออาเว่ยถูกจับไป การอารักขาของสำนักราชครูก็ยิ่งเข้มงวดขึ้น โอกาสที่จะลอบเข้าไปเป็นไปได้น้อย จึงทำได้เพียงเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย

“เอาของมาหรือยัง?” ชิงเหยียนเตือน

เจียงไห่พยักหน้า มองไปยังเยว่โกวและอิ่งสือซัน

อิ่งสือซันตอบว่า “ข้าไม่มีอะไรต้องนำไปด้วย”

เขาเป็นมือสังหาร นอกจากกระบี่ ก็มีเพียงตัวเขาเอง

อิ่งลิ่วผู้ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ไปด้วยได้แต่พึมพำด้วยความขุ่นเคือง “ไม่ให้ข้าไปจริงๆ หรือ? ข้าเก่งนะ”

“เจ้าอยู่ที่นี่คอยดูแลคุณชาย” อิ่งสือซันบอก

อิ่งลิ่วยกกระจกซึ่งพกติดตัวขึ้นมาส่อง “ก็ดี ได้ยินว่าแสงจันทร์ทำให้ผิวไหม้ได้เหมือนกัน”

อิ่งสือซัน “…”

ทุกคน “…”

การทิ้งให้อิ่งลิ่วเอาไว้กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว ครั้นอยู่ในต้าโจว หากทั้งสองไม่มีเรื่องเร่งด่วน จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่คอยอารักขาคุณชาย

อิ่งสือซันมิได้คิดมากแต่อย่างใด

ต่อให้อิ่งลิ่วผิวไหม้เกรียม…ก็ยังน่ารักอยู่ดี

อิ่งลิ่วคนน่ารักยังคงจ้องมองใบหน้าของตนในกระจกอย่างไม่ละสายตา พลางโบกมือให้คนอื่นๆ “พวกเจ้าไปได้แล้ว รีบไปจะได้รีบกลับ”

พวกเขาออกจากชีสยาย่วน แล้วนั่งรถม้าซึ่งจอดไว้หน้าประตู

รถม้าคันนี้เป็นรถม้าเทียมม้าตัวเดียวซึ่งอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันช่วยกันซื้อจากซีเฉิง นี่คือม้าพันลี้ชั้นดี วันนี้ต้องรับน้ำหนักมาก พวกเขาจึงเพิ่มม้าชนิดเดียวกันอีกหนึ่งตัว

บุรุษกำยำหลายคนช่วยกันนำผ้าไหมและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อวี๋หวั่นซื้อมาขึ้นรถ รถม้าสีดำสนิท เด็กน้อยก็ผิวเข้มหากไม่สังเกตดีๆ ก็แลดูกลืนเป็นสีเดียวกัน

ชิงเหยียนและเยว่โกวนั่งอยู่ด้านนอก เจียงไห่และอิ่งสือซันเกาะอยู่ใต้ท้องรถ

แต่ไม่รู้ว่าชิงเหยียนคิดไปเองหรืออย่างไร ม้าดูเหมือนจะใช้แรงมากสักหน่อย ยอดฝีมือที่สามารถใช้วิชาตัวเบาอย่างพวกเขาตัวหนักขนาดนั้นเชียวหรือ?

ในรถม้า เด็กน้อยทั้งสามกะพริบตาปริบๆ อย่างน่าเอ็นดู

รถม้าเคลื่อนที่เต็มกำลังไปยังประตูหลังของสำนักราชครู

“ผู้ใดกัน?” องครักษ์เอ่ยถามด้วยความเคลือบแคลงใจ

ชิงเหยียนหยิบป้ายคู่จากในอกเสื้อ แล้วกล่าวด้วยความเกรงใจว่า “ข้ามาจากร้านผ้าไหม ใต้เท้าหวั่นเฟิงต้องการผ้าและเสื้อผ้า พวกเราจึงนำมาส่ง”

องครักษ์มองไปยังป้ายคู่ จากนั้นก็ใช้ด้ามกระบี่เลิกม่านขึ้นมองผ้าด้านใน เขามองไปยังเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “เข้าไปแจ้งเรื่องนี้กับใต้เท้าหวั่นเฟิงหน่อย บอกแค่ว่าคนจากร้านขายผ้ามา”

เพื่อนร่วมงานพยักหน้า

จะโทษที่พวกเขาระแวงเช่นนี้ก็ไม่ได้ อันที่จริงสำนักราชครูก็เพิ่งจับหัวขโมยได้ หากครั้งนี้ปล่อยให้คนไร้ที่มาที่ไปเข้าไปอีก เช่นนั้นเกรงว่าพวกเขาก็คงไม่อาจทำอาชีพองครักษ์ต่อไปได้แล้ว

เพื่อนร่วมงานของเขาเดินกลับมาพร้อมกับหวั่นเฟิง

องครักษ์คำนับหวั่นเฟิง “ใต้เท้าหวั่นเฟิง”

หวั่นเฟิงอายุน้อย แต่ตำแหน่งกลับสูง เขามองไปยังผู้ที่อยู่บนรถม้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วกล่าวว่า “เป็นของที่ข้าต้องการ ทำไม? ของแค่นี้ยังต้องให้ข้ามารับเองรึ?”

องครักษ์ตอบอย่างเคารพนบนอบ “ข้าน้อยมิได้หมายความอย่างนั้น ราชครูมีคำสั่งว่าทุกที่ต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด ข้าน้อยทำไปเพื่อความปลอดภัยของสำนักราชครูก็เท่านั้นขอรับ”

หวั่นเฟิงโบกมือ “เอาเถอะ ให้พวกเขานำไปส่งให้ข้า”

“ขอรับ” องครักษ์เปิดทางให้

ชิงเหยียนบังคับรถม้าเข้าไปยังสำนักราชครู

อิ่งสือซันและเจียงไห่ปกปิดจิตสังหาร ไม่มีผู้ใดสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา แน่นอนว่าเป็นเพราะหวั่นเฟิงจงใจทำเช่นนั้น เหล่าองครักษ์จึงไม่ได้ตรวจสอบรถม้าโดยละเอียด มิเช่นนั้นต่อให้ทั้งสองจะอำพรางอย่างไร เมื่อก้มลงไปมองใต้ท้องรถย่อมต้องเห็นพวกเขา

หวั่นเฟิงมีเรือนของตนเองในสำนักราชครู ที่เขาให้รถม้าเข้าไป ก็เป็นเพราะเดาได้ว่าคนจากร้านผ้าก็คือพวกเขา ก่อนที่หวั่นเฟิงจะออกไปรับพวกเขา ก็ได้ไล่บ่าวในเรือนออกไปแล้ว

“ไม่มีคน ออกมาเถอะ!” หวั่นเฟิงบอก

อิ่งสือซันกับเจียงไห่ออกมาใต้ท้องรถ

เดิมทีหวั่นเฟิงคิดว่ามีแต่เจียงไห่ เมื่อเห็นว่ามีอิ่งสือซันมาด้วยเขาตกตะลึง

คะ…ครึ่งหน่วยกล้าตาย?

ไม่รู้ว่าหวั่นเฟิงตกใจที่พวกเขามีคนตามมาเพิ่มอีกหนึ่งคน หรือว่าตกใจที่เห็นอิ่งสือซันเป็นครึ่งหน่วยกล้าตาย

หากจะเรียกหน่วยกล้าตายว่าเป็นคนโดยสมบูรณ์ก็คงไม่อาจเรียกได้เต็มปาก พวกเขาเป็นเพียงเครื่องมือสังหารก็เท่านั้น ยามที่เครื่องมือสังหารกลายเป็นของด้อยมาตรฐาน สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็มีเพียงการถูกทอดทิ้งและถูกทำลาย

ในตอนนั้นอิ่งสือซันถูกทิ้งลงไปในกองซากศพ ผู้ที่ถูกโยนทิ้งพร้อมกับเขายังมีครึ่งหน่วยกล้าตายหมายเลขสิบเจ็ดและสิบแปด พวกเขาถูกราดด้วยน้ำมัน ทันทีที่จุดไฟก็เหลือเพียงเสียงร้องโหยหวน

อิ่งสือซันเป็นเพียงคนเดียวที่รอดออกมาได้ แต่ยังหนีไปไม่ได้ไกล ยาพิษก็เริ่มออกฤทธิ์ เขานอนรอความตายอยู่ข้างถนน ในตอนนั้นเองเยี่ยนจิ่วเฉาก็เดินผ่านมาพอดี

เยี่ยนจิ่วเฉาคุกเข่าลงพร้อมกับถามว่า “ต่อสู้เป็นไหม?”

“เป็น”

เขาตอบ

“กลัวการฆ่าคนไหม?”

“ไม่กลัว”

เขาตอบ

เขาถูกเยี่ยนจิ่วเฉาเก็บกลับไป เยี่ยนจิ่วเฉาสั่งให้หมอรักษาเขา จากนั้นเขาก็กลายเป็นองครักษ์ของเยี่ยนจิ่วเฉาไปโดยปริยาย

ระหว่างหน่วยกล้าตายซึ่งออกมาจากค่ายหน่วยกล้าตายทั้งสอง อิ่งลิ่วกลับโชคดีกว่าอิ่งสือซันมาก

เดิมทีอิ่งลิ่วถูกเลี้ยงมาเพื่อเป็นหน่วยสอดแนม มิได้ตกระกำลำบากเท่าไร ไม่ต้องดื่มยาพิษ เขาออกมาทำภารกิจ แต่สุดท้ายหลงทาง หาทางกลับไม่ถูก ทำได้เพียงนั่งกุมศีรษะร้องไห้อยู่ข้างทางพร้อมกับกระป๋องใส่เศษเงิน

นั่นเป็นครั้งแรกที่อิ่งสือซันเห็นหน่วยกล้าตายร้องไห้

ท่าทางงอแงของเขาดูน่าขันเหลือเกิน

เมื่อเทียบกันแล้ว อิ่งลิ่วจะนับว่าเป็นหน่วยกล้าตายของแท้ ฐานะเขาสูงกว่าอิ่งสือซัน ทว่าอิ่งลิ่วไม่เหมือนกับหน่วยกล้าตายแม้แต่น้อย นัยน์ตาของเขาปราศจากจิตสังหาร ทั้งยังเป็นคนจิตใจดีอีกด้วย

อิ่งสือซันลงมาจากรถม้า เขาก็ไม่ได้ปกปิดจิตสังหารอีก หวั่นเฟิงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรงซึ่งทำให้รู้สึกราวกับขาดอากาศหายใจ

เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดอีกฝ่ายจึงเดินทางมาด้วย แม้ว่าจะเป็นเพียงครึ่งหน่วยกล้าตาย กระนั้นวรยุทธ์ของเขาเห็นทีจะสูงที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด

เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจหรอกหรือ? เป็นแค่ครึ่งหน่วยกล้าตาย เก่งกาจถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]