เมื่อประมุขหญิงหยิบหนังสือกลับมาที่ห้อง ถ้วยยาก็ว่างเปล่าแล้ว ราชบุตรเขยกำลังยกผ้าซับที่มุมปาก
ประมุขหญิงคลี่ยิ้มอ่อนโยน ก้าวไปข้างหน้าและตรัสว่า “ดึกเช่นนี้ มิสู้อ่านหนังสือพรุ่งนี้ดีกว่ากระมัง”
ราชบุตรเขยวางผ้าเปื้อนยาลง “เช่นนั้นมิใช่ให้เจ้าวิ่งไปหยิบมาเสียเปล่าหรอกหรือ?”
“แล้วจะเป็นอันใดไปเล่า?” ประมุขหญิงนั่งลงข้างราชบุตรเขย พลางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อที่หน้าผากของเขา “เดือนสิบในปีก่อนๆ อากาศจะเริ่มเย็นแล้ว ทว่าปีนี้ดูเหมือนจะร้อนเป็นพิเศษ”
“ไม่เป็นไร” ราชบุตรเขยตอบ
ประมุขหญิงอยู่กินกับเขามาหลายปี ไหนเลยจะไม่รับรู้ถึงความแปลกประหลาดของเขา นางวางผ้าเช็ดหน้าลงและจ้องมองเขาด้วยดวงตาล้ำลึก “ท่านมีเรื่องในใจหรือ?”
ราชบุตรเขยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ถึงกับเป็นเรื่องในใจ เพียงแต่อยากรู้ว่าเมื่อก่อนข้าเป็นคนเช่นไรกันแน่?”
ประมุขหญิงยิ้มหวาน “ท่านก็เป็นแบบที่ท่านเป็นมาตลอดนั่นแหละ ในใจของข้า ไม่ว่าจะเป็นท่านเมื่อยี่สิบปีก่อน หรือเป็นท่านในวันนี้ ล้วนเป็นท่านคนเดิมของข้า”
“เรา…รู้จักกันได้อย่างไร? เจ้าเล่าให้ข้าฟังอีกได้หรือไม่?” ราชบุตรเขยถาม
ราชบุตรเขยจะถามคำถามนี้เช่นเดิมทุกครั้งที่เขาสูญเสียความทรงจำ ประมุขหญิงจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจ และเอ่ยตอบอย่างอดทน “ยี่สิบปีก่อน ท่านได้ติดตามชนเผ่ามายังหนานจ้าว ข้าพบเห็นท่านในงานเลี้ยง หลังจากนั้นไม่นาน ข้าก็ตามคณะทูตไปที่เผ่าของพวกท่าน ซึ่งครั้งนั้นทำให้ข้ากับท่านได้พูดคุยกัน”
ราชบุตรเขยหลุบตาลง “ข้านึกไม่ออกเลย”
เรื่องพวกนี้ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องราวของคนอื่น ในใจของเขากลับไม่รู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
ไม่เหมือนกับตอนที่เขาเห็นเยี่ยนจิ่วเฉา
ประมุขหญิงตบมือของเขาเบาๆ “เรื่องผ่านมานานแล้ว”
“วันนี้พักผ่อนเร็วหน่อยแล้วกัน” ราชบุตรเขยถอนมือออก ลุกขึ้นหันตัวเดินเข้าไปยังห้องด้านใน
ประมุขหญิงผงะกับความเฉยชาที่ถูกส่งมาอย่างกะทันหัน นางเหลือบมองถ้วยยาที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่แล้วก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด และลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง
ประมุขหญิงเป็นรัชทายาทแห่งหนานจ้าว ตามกฎของราชวงศ์แล้ว ราชบุตรเขยจะมีเรือนแยกเป็นของตนเอง ราชบุตรเขยจะเข้ามาที่เรือนของนางได้ก็ต่อเมื่อนางประกาศให้เขาเข้ามา ทว่าประมุขหญิงไม่เคยใช้กฎของราชวงศ์กับบุรุษผู้นี้แม้แต่ครั้งเดียว
หนึ่งเพราะนางรักใคร่ผูกพันลึกซึ้ง สองเพราะเขาก็เป็นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งเช่นกัน
ประมุขหญิงดับตะเกียงไฟ เปิดม่านเข้าไปนอนลงข้างกายราชบุตรเขย
แสงจันทร์นวลจาง กลางคืนเงียบสงบงดงาม
ราชบุตรเขยนอนตะแคงหันหลังให้ประมุขหญิง
ประมุขหญิงคลับคล้ายว่ารู้สึกถึงระยะห่างที่ต่างไปจากที่เคยเป็น จึงยิ่งขยับตัวเข้าด้านใน
หากเป็นสตรีทั่วไปก็อาจสำรวมกิริยาวาจารักษาหน้า แต่นางเป็นประมุขหญิง ว่าที่องค์ประมุขแห่งใต้หล้า นางจะไม่ยึดเอาสายตาและกฎเกณฑ์ทางโลกมาทำให้ตนเองรู้สึกผิด
“ราชบุตรเขย” นางเขยิบกายเข้าไปใกล้เขาเบาๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “พวกเรามีลูกอีกคนกันเถิด”
ราชบุตรเขยไม่เพียงแต่ไม่ตอบรับนาง ทว่ายังกลับพูดจาเฉยเมย “ข้ารู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย”
ขนตาประมุขหญิงกะพริบสั่นไหวในความมืด
มือของนางหยุดชะงักอยู่กลางอากาศชั่วขณะก่อนจะคลายลงเบาๆ “ก็ได้ เช่นนั้นท่านรีบพักผ่อนเถิด ยังมีเวลาอีกมาก”
เป็นหนึ่งราตรีที่ไร้ซึ่งเสียงของคนทั้งสอง
ยามฟ้าทอแสงสว่างรำไร ประมุขหญิงตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย วันนี้นางไม่ต้องเข้าว่าราชการเช้า จึงไม่มีข้ารับใช้มาปลุก หากเป็นเมื่อก่อน เวลานี้ราชบุตรเขยเองก็ยังไม่ตื่น ทว่าวันนี้ราชบุตรเขยกลับไม่อยู่แล้ว
ประมุขหญิงลูบสัมผัสผืนเตียงอันเย็นวาบ คล้ายกับว่าเขาลุกไปนานแล้ว
ประมุขหญิงมุ่นขมวดคิ้ว ตะโกนเรียกหญิงใช้ “ราชบุตรเขยเล่า?”
หญิงรับใช้ตอบ “ประทับอยู่ที่ห้องตำราเพคะ”
“ตื่นเมื่อยามใด?”
“เพิ่งตื่นเมื่อครู่ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามเพคะ”
ประมุขหญิงผ่อนคลายจิตใจลง ลุกขึ้นล้างหน้าตาด้วยการปรนนิบัติจากหญิงรับใช้ ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์หรูหราดูแปลกตา หวีเกล้ามวยผมอย่างประณีต แล้วจึงหมุนตัวเดินตรงไปยังห้องตำรา
ราชบุตรเขยกำลังอ่านกั๋วเช่อลุ่นอยู่หน้าโต๊ะทรงงาน
ประมุขหญิงถอนหายใจโล่งอกอีกครั้ง
ราชบุตรเขยเป็นหนอนหนังสือ วันใดที่เขาไม่ต้องช่วยนางจัดการเรื่องราชกิจ ก็มักจะจมอยู่ในกองหนังสือคนเดียว เมื่อคืนยังไม่ได้อ่าน เลยตื่นแต่เช้าตรู่มาอ่านก็นับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เพียงแต่ท่าทีของราชบุตรเขย…
เมื่อนึกถึงความเฉยชาของเขาเมื่อคืน ประมุขหญิงก็คิดว่านางต้องสืบเรื่องของราชบุตรเขยหรือไม่?
“มาแล้วหรือ?” ราชบุตรเขยเงยหน้าขึ้น พร้อมกับส่งยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน
แม้ใบหน้าจะถูกปิดบังไว้ด้วยหน้ากาก ทว่าดวงตากลับดูสดใสเป็นประกาย ยามเขายิ้ม โลกทั้งใบคล้ายกับอบอุ่นลง
ประมุขหญิงนึกในใจว่าตนเองคงกังวลมากเกินไป ราชบุตรเขยยังคงเป็นราชบุตรเขยคนเดิมของนาง เป็นนางเองที่เห็นเงาธนูเป็นงู เห็นต้นไม้ใบหญ้าเป็นข้าศึก
ราชบุตรเขยวางหนังสือในมือลง “หิวรึยัง? ข้าจะให้คนไปยกสำรับมา”
นางพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม “ดีเลย”
อาหารเช้ามื้อนี้ ราชบุตรเขยเป็นคนสั่งการ แม้ว่าจะมีไม่หลากหลาย แต่อาหารทุกจานล้วนประณีต
ราชบุตรเขยคีบเนื้อเส้นราดน้ำปรุงรสใส่ลงในชามของนาง “ลองกินดูสิ”
ประมุขหญิงคีบชิมคำหนึ่ง
“รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?” ราชบุตรเขยถาม
ประมุขหญิงส่งเสียงอื้มด้วยความโปรดปรานยิ่ง “เนื้อแข็งสักหน่อย แต่อร่อยมาก”
“กินอีกสักหน่อยนะ” ราชบุตรเขยคีบให้นางอีกสองสามคำ
ประมุขหญิงถูกราชบุตรเขยดูแลจนจิตใจอ่อนระทวย กินเนื้อเส้นในจานจนหมดเกลี้ยง เห็นแต่ราชบุตรเขยคีบให้นาง แต่ตนเองกลับไม่กิน นางจึงรีบคีบให้เขาด้วยคำหนึ่ง
ราชบุตรเขยเอ่ย “ข้าไม่กินเนื้องู”
ประมุขหญิงตกใจ มองเนื้อในจานที่ตนเองกินหมดไปครึ่งหนึ่งอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านบอกว่านี่คือ นะ…เนื้องู?”
ราชบุตรเขยตอบ “ใช่สิ ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบ ก็เลยสั่งให้พ่อครัวทำมาให้”
“แหวะ—”
ประมุขหญิงกุมหน้าอกอาเจียนอย่างรุนแรง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]