อวี๋หวั่นมองเห็นสีหน้าแววตาของเขา พลันกะพริบตาอย่างงุนงง “ท่านเป็นอะไรไปหรือ?”
องค์ประมุขกลับคืนสติและตรัสว่า “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่แปลกใจที่เจ้ามีบุตรถึงสองคน แล้วยังเลี้ยงดูพวกเขาได้ดีเช่นนี้”
สตรีที่ให้กำเนิดบุตรก็เหมือนกับการเดินผ่านประตูผี บุตรคนเดียวก็อันตรายแล้ว คู่หนึ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง เมื่อครั้งฮองเฮาให้กำเนิดตี้จีองค์เล็กก็เกือบกลายเป็นหนึ่งร่างสองวิญญาณ เคราะห์ดีที่เด็กคนนั้นมีโชค ทำให้นางกับพระมารดากลับมาจากประตูผีได้สำเร็จ
เขายังจดจำช่วงเวลาที่เสียงร้องไห้ดังขึ้น ท้องฟ้าสว่างสดใส เมฆสีม่วงเต็มท้องฟ้า เมฆมงคลทอดยาวหมื่นหลี่ เป็นสัญญาณที่เทพเจ้าอวยพร
ในครานั้นที่เขาหลงใหลบุตรผู้นั้นมากถึงเพียงนั้นมิใช่ไร้เหตุผล
นางไม่เพียงแต่นำพาโชคดีมาสู่หนานจ้าว แต่นางยังปกป้องชีวิตของฮองเฮาไว้ด้วย
เพราะดาวชะตานำโชค ฮองเฮาถึงมีชีวิตรอดมาได้
แน่นอนอวี๋หวั่นไม่รู้เลยว่าในช่วงเวลาเพียงครู่ ในใจขององค์ประมุขคิดไปไกลถึงเพียงนั้น บุตรได้รับคำชม ผู้เป็นมารดาก็มิใช่ไม่ยินดี เพียงแต่ต้องกล่าววาจาอ่อนน้อม “และมีช่วงเวลาที่ชวนให้ปวดหัวเช่นกัน”
เสี่ยวเป่าตะลึงไปชั่วขณะ และตระหนักได้ว่าท่านแม่บอกว่าเขากับพี่ชายทำให้เธอปวดหัว เขาไม่ยอมรับ รีบส่ายหัวแก้ตัวทันควัน “ไม่ ไม่! ข้ากับท่านพี่ไม่ได้ทำ!”
เพื่อแสร้งทำตัวเป็นเด็กดี กระทั่งคำว่าพี่ชายก็ยอมเอ่ยออกจากปาก ไม่รู้เลยว่าต้าเป่าที่เขาเรียกอยู่ทุกวันเป็นใคร
อวี๋หวั่นทั้งโกรธทั้งตลก
องค์ประมุขก็รู้สึกขบขันกับท่าทางเด็กคนนี้แทบทนไม่ไหว
เขาจำได้ว่าต้าเป่าไม่พูด และคิดว่าเจ้าตัวเล็กคนนี้ก็คงไม่ชอบพูดเช่นกัน ไม่คาดคิดว่าจะช่างพูดช่างจาเพียงนี้ ประกอบกับท่าทางร้อนรนเล็กน้อยของเขา มันช่างน่ารักจริงๆ
องค์ประมุขคิดว่าเมื่อเขามีอายุมากเท่าตอนนี้ ความรักใคร่โปรดปรานที่มีต่อเด็กๆ จะลดน้อยลงไป และความจริงก็เป็นเช่นนั้น ในตระกูลมีบรรดาเด็กที่เฉลียวฉลาดและตลกอยู่ไม่น้อย แต่ในความคิดของเขากลับดูไม่มีสิ่งใด
นอกจากความรู้สึกหนวกหูแล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไร
เด็กผู้นี้เสียงดังเจื้อยแจ้ว แต่เขากลับรู้สึกชอบมันยิ่งนัก
“ไม่ ไม่!” เสี่ยวเป่ายังคงร้องทุกข์ให้ตนเอง
อวี๋หวั่นขำขันในอารมณ์ของเขา “เอาละ เอาละ เสี่ยวเป่าไม่ได้ทำ”
“กอด” เสี่ยวเป่ายื่นมือเล็กๆ ออกไปอย่างน้อยอกน้อยใจ
อวี๋หวั่นอุ้มเขาขึ้นมา
เสี่ยวเป่าจับใบหน้าของอวี๋หวั่นและเอ่ยถามอย่างจริงจัง “เสี่ยวเป่าเป็นเด็กดีหรือไม่?”
“ดี” อวี๋หวั่นกล่าว
“เป็นบุตรที่เชื่อฟังที่สุดหรือไม่?”
“ใช่ๆๆ เจ้าเชื่อฟังที่สุด!”
เสี่ยวเป่าโอบรอบคอมารดาด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
องค์ประมุขถูกภาพสองแม่ลูกตรงหน้าดึงดูดจนไม่สังเกตเห็นเสี่ยวเอ้อร์ที่แบกของมาทางนี้ด้วยความรีบร้อน
เมื่ออวี๋หวั่นรู้สึกตัวว่ามีคนกำลังมาทางนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว องค์ประมุขชนกับพัสดุของเสี่ยวเอ้อร์
อวี๋หวั่นรีบปล่อยมือข้างหนึ่งไปคว้าร่างองค์ประมุขเอาไว้
องค์ประมุขยังทรงตัวได้ทัน ไม่ถึงกับล้มกระแทกพื้นเย็นๆ แต่เข่าของเขาก็กระแทกเข้ากับพัสดุที่มีน้ำหนัก ผิวหนังรู้สึกเจ็บปวดร้อนผ่าว
เมื่อเห็นว่าตนเองชนคน เสี่ยวเอ้อร์ก็ตกใจมากจึงรีบวางพัสดุและกล่าวขอโทษ “ข้าน้อยสมควรตาย! ข้าน้อยสมควรตาย!”
แค่อุบัติเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น องค์ประมุขไม่ได้คิดถือโทษเอาความ
องค์ประมุขโบกมือ “ออกไปเถิด”
“ขอรับ ขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์แบกของออกไปด้วยความโล่งใจ
“เจ็บ เจ็บ” เสี่ยวเป่ากล่าว
อวี๋หวั่นวางบุตรชายและก้าวไปถามองค์ประมุขที่ร่างกายมีเหงื่อเย็นผุดออกมา “ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
“ไม่เป็นไร” องค์ประมุขสูดหายใจด้วยความเจ็บปวดและชี้ไปที่ห้องปีกที่อยู่ด้านหลังเธอ “พยุงข้าเข้าไปในห้องได้หรือไม่?”
“ช้าก่อน” อวี๋หวั่นคุกเข่าลง ใช้มือลูบสัมผัสกระดูกของเขาอย่างเบามือ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรร้ายแรงจึงช่วยพยุงเขาเข้าไป
“เจ็บมากเลย!” เสี่ยวเป่าเดินตามมาด้านหลัง เจ็บปวดแทนท่านปู่ชรา
องค์ประมุขขำขันกับท่าทางของเขา “ไม่เจ็บ”
เสี่ยวเป่ากลับเลิกคิ้ว ราวกับบอกว่าอย่าดูถูกว่าข้าเด็ก แท้จริงแล้วข้าฉลาดยิ่งนัก
องค์ประมุขตลกเด็กคนนี้ยิ่งนัก ยามแรกเขารู้สึกเจ็บจริงๆ ทว่าตอนนี้กลับไม่รู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว
อวี๋หวั่นเห็นความชำนาญทางของชายชราก็คาดว่าเขาเป็นลูกค้าประจำของร้านนี้ เธอจึงไม่ได้เกรงใจอะไร พยุงเขาไปนั่งที่เก้าอี้ “ข้าเป็นหมอ หากท่านไม่รังเกียจข้าขอดูอย่างละเอียดอีกสักหน่อย”
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าอายุน้อย แต่กลับรู้ศาสตร์การแพทย์” องค์ประมุขแปลกใจเล็กน้อย “ลำบากเจ้าแล้ว”
อวี๋หวั่นเลิกขากางเกงของเขาขึ้นและตรวจดูอีกครั้ง กล้ามเนื้อและกระดูกไม่ได้บาดเจ็บ แต่หนังกำพร้าถลอก และมีเสี้ยนไม้เล็กๆ สองชิ้นทิ่มอยู่ในเนื้อ อวี๋หวั่นจึงดึงเสี้ยนไม้ออกมา
องค์ประมุขรู้สึกอาการเจ็บปวดดีขึ้นมากแล้ว
“หลังจากท่านกลับบ้านไปก็ทายาจินฉวงอีกครั้ง” สถานที่นี้ไม่มียา แต่บาดแผลไม่ใหญ่และไม่ใช่แผลที่ติดเชื้อง่าย อวี๋หวั่นเห็นว่าสถานะของเขาสูงส่งจึงบอกให้ทายา คนที่ใช้ชีวิตอยู่กับดินกินกับทราย แค่ถูกเสี้ยนไม้สองชิ้นทิ่มแทงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ขอบใจเจ้ามาก” องค์ประมุขกล่าวอย่างซาบซึ้ง
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “ไม่ต้องเกรงใจ เรื่องเมื่อครั้งก่อนข้ายังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย”
แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่อวี๋หวั่นก็เคยไปขอบคุณถึงประตูบ้าน เธอนำของขวัญขอบคุณไปมอบด้วยตนเอง แต่เธอไม่ได้พบเจ้าของบ้าน เด็กรับใช้บอกว่านายท่านไม่อยู่ ให้ฝากของไว้กับเขาและเขาจะแจ้งว่าเธอมาที่นี่
อวี๋หวั่นรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเด็กรับใช้ไม่ค่อยดีนัก จึงคิดว่าแปดในสิบส่วนเจ้าของบ้านหลังนี้คงเป็นคนที่หยิ่งผยองน่าดู ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อได้พบกัน กลับมีเมตตาและมีอัธยาศัยดียิ่งกว่าอาอาม่าเสียอีก
อาม่าผู้ไม่เคยมีเมตตาและมีอัธยาศัยดี “…”
อวี๋หวั่นประทับใจในตัวเขาครู่หนึ่งก็หันกลับมา “ท่านออกมาคนเดียวหรือ? อยากให้ข้าเรียกรถม้าให้หรือไม่?”
องค์ประมุขคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก พ่อบ้านของข้าไปซื้อของเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว จริงสิ พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อกินฝูหยวนจื่อหรือ? ตอนนี้มีแขกมาเยอะ ห้องโถงก็นั่งกันเต็มหมดแล้ว หากไม่รังเกียจก็อยู่ทานอาหารที่นี่เถิด”
เขานึกถึงฉากต้าเป่ากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย พลันรู้สึกอยากป้อนอาหารเสี่ยวเป่าขึ้นมาทันใด
เสี่ยวเป่าปฏิเสธ “ไม่ได้ ท่านพ่อกับพี่ชายรออยู่!”
“อา” ร่องรอยแห่งความผิดหวังปรากฏขึ้นในหัวใจขององค์ประมุข การบังคับผู้อื่นให้อยู่ไม่ใช่สิ่งที่ประมุขของอาณาจักรควรทำ “เช่นนั้นข้าจะให้คนทำฝูหยวนจื่อให้พวกเจ้า”
อวี๋หวั่นไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของเขา อย่างไรเสียกลับไปต่อแถวใหม่ตอนนี้ ก็ไม่แน่ใจว่าต้องรอจนถึงกี่โมง
องค์ประมุขเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาบอกกล่าวเรื่องฝูหยวนจื่อ เสี่ยวเอ้อร์ก็นำรับสั่งไปแจ้งห้องครัวอย่างเคารพนบนอบ หลังจากทำเสร็จ เขายังไปส่งอวี๋หวั่นที่ร้านอาหารตรงข้ามด้วยตนเอง
หลังจากอวี๋หวั่นกับเสี่ยวเป่าจากไปไม่นาน ขันทีหวังก็กลับมาพร้อมกับขนมดอกกุ้ยฮวาหนึ่งกล่อง “ฝ่าบาท ขนมดอกกุ้ยฮวาของฮองเฮาซื้อมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เอ๊ะ? ขาท่าน?”
ขันทีหวังสังเกตเห็นขาขวาของประมุขที่ดูแข็งเล็กน้อย พลันวางขนมดอกกุ้ยฮวาและก้มลงตรวจดู “ท่านบาดเจ็บ!”
องค์ประมุขตรัสอย่างเฉยเมย “แค่แผลเล็กน้อยเท่านั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]