“ท่านไม่กังวลว่าองค์ประมุขจะได้พบองค์หญิงน้อยหรือ?” ราชครูเอ่ยถาม
หนานกงหลีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “องค์ประมุขไม่เคยพบตี้จีองค์โต แม้จะได้พบองค์หญิงน้อยก็จำนางไม่ได้อยู่ดี อีกอย่างหากจำนางได้ จะไม่เป็นการดียิ่งกว่าหรือ?”
ผู้คนต่างรู้ดี องค์ประมุขไม่เต็มใจจะรับรู้ถึงตี้จีองค์โต หากทรงทราบว่าบุตรสาวของนางมาที่หนานจ้าว และไม่รีบขับไล่ออกจากหนานจ้าวให้เร็วที่สุดก็คงแปลกแล้วกระมัง
ยิ่งไปกว่านั้นตี้จีองค์โตไม่ได้แต่งงานกับประมุขแห่งเผ่าปีศาจหรอกหรือ? เหตุใดนางถึงกลายมาเป็นภรรยาของคนในต้าโจวได้? ข้อหาความผิดนี้องค์ประมุขไม่มีทางปรานีคนครอบครัวนั้นเป็นแน่
หนานกงหลีออกจากสำนักราชครูไปเยี่ยงผู้มีชัย
ความจริงขอเพียงคนพวกนั้นออกไปจากเมืองหลวง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับเขาอีกแล้ว
หนานกงหลีปัดแขนเสื้อกว้างก่อนจะขึ้นรถม้าของจวนประมุขหญิง
“องค์ชาย พวกเราจะกลับจวนเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” สารถีเอ่ยถาม
หนานกงหลีชะงัก “ไม่ ไปที่ศาลาเทียนจิ่น ข้าจะเลือกหนังสือต้นฉบับไปให้ท่านพ่อสักสองสามเล่ม”
ราชบุตรเขยรักหนังสือ ทุกคนรู้กันดี องค์ชายน้อยเคารพเขา และแสวงหาหนังสือต้นฉบับที่มีชื่อเสียงจากทั่วทุกมุมโลกมาให้เขา ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด ความกตัญญูนี้กลายเป็นเรื่องราวดีๆ ที่ถูกเล่าขานกันทั่วหนานจ้าว
เขาปฏิบัติต่อบิดาอย่างบริสุทธิ์จริงใจ หากเทียบกันแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉานับเป็นสิ่งใดกัน?
สิ่งใดทำให้ท่านพ่อคะนึงถึงเขาไม่เคยลืม?
ความอิจฉาริษยาที่ไม่อาจบรรยายท่วมล้นหัวใจหนานกงหลี
เขาสูดหายใจ ข่มกลั้นมันลงไป
แค่สุนัขข้างถนนที่กำลังจะถูกเขี่ยออกจากหนานจ้าว ไยข้าต้องลดตัวลงไปเทียบชั้น?
แน่นอน การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อกำจัดจอกหนามในตาของตนเอง สกุลเห้อเหลียนสมรู้ร่วมคิดกับราชวงศ์ต้าโจว อาชญานี้เพียงพอที่พวกเขาจะล้มทั้งตระกูลให้วอดวาย เมื่อถึงตอนนั้น เขาและท่านแม่จะออกหน้าร้องขอความเมตตาแทนสกุลเห้อเหลียน องค์ประมุขต้องปูทางให้ประมุขหญิง และอาจทำให้สกุลเห้อเหลียนเป็นหนี้บุญเจ้าประมุขหญิงในครั้งนี้
ขอเพียงสกุลเห้อเหลียนพึ่งพาอาศัยจวนประมุขหญิง ราชบัลลังก์ของประมุขหญิงก็จะยิ่งมั่นคง
ณ จวนเห้อเหลียน
เด็กชายสามคนอ่อนแรงไร้กำลัง ข้าวก็ไม่กิน นมก็ไม่ดื่ม เอาแต่นอนในอ้อมแขนของบิดามารดาอยู่อย่างนั้น
เสี่ยวเป่ายึดครองมารดาไว้เพียงผู้เดียว จึงทำท่าอวดเบ่งมากเป็นพิเศษ
ใครใช้ให้เขาป่วยน้อยที่สุด อีกทั้งแขนขาเล็กๆ ก็ยังมีพละกำลังมากที่สุด?
แน่นอนว่ามีพละกำลังมากที่สุด เป็นแค่คำพูดที่ใช้เปรียบเทียบ แท้จริงอาการของเขาก็มิได้สู้ดีนัก
มื้อเช้ากินโจ๊กไปได้ครึ่งชาม มื้อกลางวันก็กินไม่ลงเสียแล้ว
“เสี่ยวเป่า กินสักคำนะ” อวี๋หวั่นยื่นช้อนโจ๊กนุ่มละมุนลิ้นป้อนเขา
เสี่ยวเป่าหันหน้าหนี “ไม่กิน”
“เสี่ยวเป่ารู้สึกไม่ดีมากเลยใช่ไหม?” อวี๋หวั่นวางช้อนลง แล้วตบหลังบุตรชายเบาๆ
เสี่ยวเป่าไม่ได้บอกว่าเขารู้สึกไม่ดี แต่ท่าทางเซื่องซึมนั้นเห็นได้ชัดว่าเขากำลังรู้สึกแย่มาก
ต้าเป่ากับเอ้อร์เป่าไข้สูงจนเริ่มเหม่อลอย
เด็กน้อยทั้งสองนั่งอย่างว่างเปล่าภายในอ้อมแขนของเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาหมายจะไปหยิบของบางอย่าง จึงวางพวกเขาลงบนธรณีประตู พวกเขาก็ไม่เอะอะ นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่เช่นนั้น ราวกับบุตรชายผู้โง่เขลาสองคนของเจ้าบ้าน
อวี๋หวั่นจะไปเตรียมยาจึงวางเสี่ยวเป่าลง
สามพี่น้องนั่งกันอย่างโฉดเฉา
เมื่ออวี๋หวั่นเตรียมขี้ผึ้งลดไข้กลับมา เด็กชายโง่เขลาจากสามก็กลายเป็นสี่
ซิวหลัวก็มาเช่นกัน
ซิวหลัวนั่งบนธรณีประตูถัดจากต้าเป่า สองมือวางบนเข่า ทั้งล่องลอย ทั้งเชื่อฟังและน่าสงสาร
จะโทษผู้ใดละ?
อวี๋หวั่นพูดในใจ
ใครให้เจ้ารีดนมแพะทุกวัน?
คงจะติดหวัดจากเด็กพวกนี้แล้วกระมัง?
“ฮัดชิ่ว!”
“ฮัดชิ่ว!”
“ฮัดชิ่ว!”
“ฮัดชิ่ว!”
ทั้งสี่คนจามติดกันเป็นชนวน
อวี๋หวั่นกุมขมับ
เธอไม่อาจไล่ตะเพิดชายผู้นี้ออกไปได้จริงๆ และก็ไม่อาจนั่งดูดายไม่จัดการสิ่งใดได้เช่นกัน หมดสิ้นหนทาง ได้แต่ทำยาขี้ผึ้งเพิ่มอีกหนึ่งชุด ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อและทาบลงบนหน้าผากของพวกเขา
เด็กสามผู้ใหญ่หนึ่ง ต่างแปะห่อคลายความร้อนของทารกที่อวี๋หวั่นทำด้วยตนเอง
อาการป่วยหนักถึงเพียงนี้ แค่ห่อคลายร้อนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอแน่ ยังต้องกินยาด้วย ปริมาณยาของพวกเขาแตกต่างกัน ทว่ารสชาติเหมือนกัน
อวี๋หวั่นยื่นชามยาใบที่ใหญ่ที่สุดให้ซิวหลัว
ซิวหลัวกลั้นใจกลืนลงไปด้วยแรงฮึด จากนั้นตาก็กลอกกลับเป็นสีขาวและแลบลิ้นออกมาด้วยความขมของรสยา!
แต่ไม่กินยาก็กินนมไม่ได้
ซิวหลัวมองไปที่ขวดนมเล็กๆ บนโต๊ะและกล้ำกลืนยารสขมลงคอด้วยความอัปยศอดสู
ไข่ดำทั้งสามก็ดื่มด้วยความทรมานเช่นกัน
หลังจากพวกเขาเป็นเพื่อนร่วมดื่มนมแล้ว พวกเขาก็ได้กลายมาเป็นเพื่อนป่วยร่วมทุกข์กันอีก!
…
มื้อเย็น จู่ๆ เสี่ยวเป่าก็บอกว่าอยากกินฝูหยวนจื่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]