เหตุการณ์กลับตาลปัตรไม่เป็นดังที่ประมุขหญิงคาดคิด ทั้งที่มั่นใจว่าเรื่องราวจะสำเร็จได้ด้วยดี แต่เหตุใดกลับกลายเป็นแกว่งเท้าหาเสี้ยนเสียเอง?
นางขบคิดตลอดทางที่ไปวังหลวงว่าตัวตนที่แท้จริงของราชบุตรเขยที่พยายามปกปิดไว้ถูกผู้ใดเปิดโปง?
เยี่ยนจิ่วเฉาหรือ?
เขาจำราชบุตรเขยได้แล้วหรือ?
ยามที่ราชบุตรเขยออกจากต้าโจว เยี่ยนจิ่วเฉามีอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น วันเวลาผ่านมานานถึงสิบหกปีแล้ว เหตุใดถึงยังจำเรื่องราวในคราวนั้นได้?
แต่จำได้แล้วอย่างไร?
ราชบุตรเขยมิได้มีสภาพดังเช่นที่เคยเป็นมานานแล้ว
นอกจากนี้ราชบุตรเขยก็สวมหน้ากาก เยี่ยนจิ่วเฉาคงไม่ถอดหน้ากากของเขาออก…เหตุใดเขาต้องถอดมัน? อาจสงสัยในตอนแรก แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องสงสัย
อย่างน้อยที่สุด หากเด็กนั่นจำราชบุตรเขยได้จริงๆ แล้วอย่างไร? เขาจะกลั้นใจผลักไสบิดาตนเองลงกองไฟเพื่อปกป้องตนเองได้หรือ?
แต่หากไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใคร?
หลังจากประมุขหญิงคิดได้ หัวก็โตแล้ว
“ฝ่าบาท เชิญเสด็จลงจากรถม้าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อถึงประตูวัง หัวหน้าทหารม้าก็หยุดรถม้าของประมุขหญิง
อดีตที่ผ่านมาประมุขหญิงเคยแต่นั่งรถม้าเข้าไปในวังหลวง ทว่ายามนี้นางถูกต้องสงสัย ด้วยเห็นแก่ฐานะว่าที่กษัตริย์ของนาง ไม่จับเข้ารถคุมขังนักโทษก็นับว่าเป็นความการุณยิ่งแล้ว หากยังหมายให้เป็นดังเดิมเช่นก่อนหน้านี้ย่อมเป็นไปไม่ได้
ประมุขหญิงก็เข้าใจความจริงข้อนี้เช่นกัน แต่ต่อให้เข้าใจดีเพียงใด นางก็ยังคงรู้สึกราวกับใบหน้าถูกฟาดด้วยฝ่ามือฉาดใหญ่
ตั้งแต่เล็กจนโต นางมีชีวิตที่ราบรื่นโรยด้วยกลีบกุหลาบ และไม่เคยต้องอับอายมาก่อน
นางก้าวลงจากรถม้าอย่างเย็นชา
เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันก้มหน้าก้มตา
แต่ประมุขหญิงกลับเหมือนเห็นภาพมายาว่าตนเองกำลังก้าวเดินอยู่บนคมมีด
บนตำหนักจินหลวน องค์ประมุขเสด็จมารออยู่นานแล้ว
แทนที่จะนั่งบนบัลลังก์มังกร เขากลับก้าวลงบันไดสูงอย่างช้าๆ มาหยุดยืนตรงตำแหน่งที่ขุนนางจะมาถวายบังคม
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง จึงหันกลับไปอย่างเนือยนิ่ง
เขาแผ่กลิ่นอายลึกล้ำน่าเกรงขามและแววตาเยียบเย็น
มองเห็นเพียงปราดเดียว หัวใจของประมุขหญิงพลันกระตุกวูบ
ประมุขหญิงก้าวเข้าไปข้างในพร้อมกับโค้งคำนับด้วยความเคารพ “ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ”
องค์ประมุขจ้องมองนางด้วยสีหน้าอารมณ์ซับซ้อน และตรัสอย่างเคร่งขรึม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเรียกเจ้ามาด้วยเหตุใด?”
ประมุขหญิงกดคิ้วต่ำ ดวงตาเกิดประกาย “ลูกถูกคนให้ร้าย เสด็จพ่อจึงต้องการให้ซวนเอ๋อร์เข้าวังเพื่อซักถาม”
“ถูกคนให้ร้ายจริงหรือ?” องค์ประมุขตรัสถามน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ขนตาของประมุขหญิงสั่นระริก เอ่ยด้วยความจำใจ “ต้องเป็นการให้ร้ายแน่ ข้ากับราชบุตรเขยต้องใจกัน หลายปีมานี้พวกเรากตัญญูต่อเสด็จพ่อและเสด็จแม่อย่างไร เราจงรักภักดีต่อราชวงศ์หนานจ้าวอย่างไร เสด็จพ่อก็เห็น พวกเราจะทำสิ่งที่ผิดต่อเสด็จพ่อได้อย่างไร?”
องค์ประมุขมิใช่คนที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ เขาจ้องมองใบหน้าของบุตรสาวเนือยนิ่ง “เจ้ากำลังปฏิเสธเรื่องการร่วมมือกับศัตรูคิดทรยศ หรือเรื่องราชบุตรเขยเป็นเยี่ยนอ๋องแห่งต้าโจว?”
ประมุขหญิงใจสั่นรัวอีกครั้ง
ใต้แขนเสื้อกว้าง นิ้วของนางจิกเข้าหากันแน่น
อย่าเห็นว่านางเป็นถึงประมุขหญิงที่จะเรียกลมเรียกฝนก็ได้ เมื่อครั้นอยู่ต่อหน้าองค์ประมุขผู้สง่างามนี้ กลับไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกระทำความผิด
เหตุผลที่ทำให้ดื้อรั้นเอาแต่ใจในตอนนั้น ส่วนใหญ่มาจากการที่นางเกิดมาเป็นลูกวัวไม่กลัวเสือ ยิ่งได้อยู่กับองค์ประมุข ก็ยิ่งเข้าใจความคิดของเขามากขึ้น เมื่อเข้าใจก็ยิ่งทำให้นางสั่นเทามากขึ้นเท่านั้น
องค์ประมุขไม่ได้เร่งรัดนาง นางจึงพยายามคิดว่าจะตอบสนองอย่างไรดี
ประมุขหญิงพยายามสงบอารมณ์และตรัสอย่างจริงจัง “เสด็จพ่อ ราชบุตรเขยเป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่าไป๋เอ้อ เรื่องนี้มิใช่ว่าท่านเองก็รับรู้หรือ? คนของเผ่าไป๋เอ้อก็เคยมาที่หนานจ้าวเช่นกัน ท่านก็ได้..ต้อนรับพวกเขาทุกคน มายามนี้ท่านกลับสงสัยในตัวตนของราชบุตรเขยเพราะคำกล่าวหาไร้มูลเพียงไม่กี่ประโยค ท่านจะให้ราชบุตรเขยทนได้อย่างไร? จะให้ลูกทนได้อย่างไร?”
“หนานกงเยี่ยน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง” ประมุขตรัสอย่างเคร่งขรึม สองมือไพล่หลัง
การยอมรับความผิดของตนเองในเวลานี้ นับเป็นความเมตตาสุดท้ายจากองค์ประมุข
ใต้หล้านี้มีคนประเภทหนึ่ง ที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา มักจะคิดว่าตนเองฉลาดพอที่จะหลอกคนทั้งใต้หล้า
ประมุขหญิงสูดหายใจมองไปที่องค์ประมุขอย่างเศร้าสร้อย “หรือในใจของเสด็จพ่อ ข้าเชื่อใจไม่ได้เท่าคนนอกกระนั้นหรือ? ข้าไม่รู้ว่าผู้ที่เปิดโปงราชบุตรเขยต่อเสด็จพ่อเป็นใคร แต่อีกฝ่ายต้องไม่หวังดีเป็นแน่ เขาหมายให้เราสองพ่อลูกแตกคอ กำจัดราชบุตรเขย เสด็จพ่อได้โปรดไตร่ตรอง!”
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาราชบุตรเขยช่วยนางจัดการกับคนที่เห็นต่างไม่น้อย จึงยากจะรับประกันว่าไม่มีใครคิดริษยานาง นางเชื่อในประเด็นนี้มาตลอด แต่ยังคงไร้หนทางที่จะอธิบายได้ คนนอกเพียงหนึ่งคนจะมองประวัติชีวิตออกได้อย่างไร
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะคิดเรื่องนี้ การหาวิธีขจัดความสงสัยของเสด็จพ่อเป็นกุญแจสำคัญมากกว่า
องค์ประมุขมองนางและตรัสว่า “หนานกงเยี่ยน ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่รับ หลังจากนี้ผลจะเป็นอย่างไร เจ้าต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเองทั้งหมด”
ประมุขหญิงตรัสด้วยสีหน้าอาจหาญ “ขอเสด็จพ่อโปรดเรียกตัวผู้รายงานเรื่องนี้มา ลูกต้องการเผชิญหน้ากับเขา”
องค์ประมุขตรัสอย่างเฉยเมย “ข่าวนี้ลือมาจากหมู่ราษฎร เมื่อแพร่ไปถึงหูของบรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโสแห่งวิหารพิษ พวกเขาก็รีบรุดมาถามข้า เจ้าต้องการให้ข้าพาคนมา หวังให้เป็นบรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโสหรือราษฎรผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นเล่า?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]