องค์ประมุขไม่เคยถูกคนตอกกลับเช่นนี้มาก่อน เขาตกตะลึงเป็นเวลานานทีเดียวกว่าจะได้สติกลับคืน
เป็นถึงประมุขของอาณาจักร กลับถูกเด็กคนหนึ่งตอกกลับจนเสียอาการ กล่าวได้ว่าช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม คำพูดเพียงด้านเดียวของเด็กคนนี้ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นหลักฐาน อย่างไรก็ต้องได้รับการตรวจสอบ
นี่ไม่ใช่เรื่องยาก นายท่านรองของสกุลเห้อเหลียนที่เพิ่งกลับมาอยู่ในเมืองหลวง ส่งคนไปตามเขามาสอบสวนก็สิ้นเรื่อง
หลังจากเห้อเหลียนเป่ยหมิงและเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋เซ่าชิงก็ถูกนำตัวเข้าไปในวังเช่นกัน
อวี๋เซ่าชิงเข้าวังหนานจ้าวเป็นครั้งแรก ยังรู้สึกแปลกใหม่แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันชื่นชมทิวทัศน์ของพระราชวัง ก็ถูกขันทีหวังผู้มีสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง(ทว่าภายในหวั่นไหวสุดขีด)นำตัวไปยังตำหนักจินหลวน
เมื่อองค์ประมุขมองเห็นใบหน้าของอวี๋เซ่าชิง ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นบุตรชายของหนิวตั้น
องค์ประมุขเติบโตมาพร้อมกับหนิวตั้น ยามที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาสนิทสนมกันมากที่สุด กระทั่งกางเกงก็เคยสวมตัวเดียวกันได้ นับได้ว่าเป็นเพื่อนในยามตกทุกข์ได้ยาก
ยามนั้นบุตรชายคนเล็กของหนิวตั้นตกจากหน้าผา เขาเองก็รู้สึกเศร้ามากเช่นกัน
แม้จะบอกว่ามีชีพต้องเห็นกาย หากตายต้องเห็นศพ แต่ในใจของเขาก็ไม่รู้สึกว่าเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงออกตามหาน้องชายมานานหลายปี ดูแล้วเขาทำไปเพราะคำนึงถึงความรู้สึกฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น
เป็นเรื่องดีที่บุตรชายของหนิวตั้นไม่ได้ตาย แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใด ในใจองค์ประมุขจึงไม่รู้สึกโปรดปรานบุตรชายคนเล็กของหนิวตั้นนัก
เห็นได้ชัดว่าบุตรชายคนเล็กผู้นี้เหมือนหนิวตั้นมากกว่า แต่เหตุใด…ตนถึงอยากจัดการเขามากขนาดนี้?
เขาไม่มีความเกลียดชังใดต่อหนิวตั้นนี่!
ตอนแรกเขาก็อยากจัดการกับราชบุตรเขย แต่นั่นเป็นเพราะราชบุตรเขยฉกอัญมณีล้ำค่าในมือของเขาไป แต่อวี๋เซ่าชิงมิได้ทำเช่นนั้น ความรู้สึกไม่พอใจยามที่มองอีกฝ่ายคืออะไรกัน?
ความรู้สึกแปลกประหลาดเช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับอวี๋เซ่าชิงเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่ายามที่พบฮ่องเต้แห่งต้าโจวเขาไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อพบกับองค์ประมุขแห่งหนานจ้าวกลับรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก
เขายังพินิจอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าเสื้อผ้าของเขาเหมาะสมมากเพียงใด
แปลกยิ่งนัก บุรุษผู้นี้ไม่ใช่พ่อตาของเขา เหตุใดต้องกังวลขนาดนี้?
ทันใดนั้นบรรยากาศภายในตำหนักจินหลวนก็แปลกประหลาดขึ้นทุกที องค์ประมุขและอวี๋เซ่าชิงแลกเปลี่ยนสายตาเชือดเฉือน โดนไม่มีใครเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
หากมิใช่เพราะแน่ใจว่าฝ่าบาทมีพระทัยรักมั่นต่อฮองเฮา ขันทีหวังก็เกือบคิดว่าฝ่าบาทมีใจหมายมั่นให้สตรี(บุรุษ)วัยกลางคนผู้งดงามท่านนี้เป็นสนมเสียแล้ว!
“อะแฮ่ม” องค์ประมุขตระหนักถึงความผิดปกติของตนเอง จึงรีบถอนสายตาและถามด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย “เจ้าก็คือเห้อเหลียนเป่ยอวี้รึ?”
อวี๋เซ่าชิงอยากจะยืดเอวแล้วกล่าวว่า ‘ข้าคืออวี๋เซ่าชิง’ แต่เมื่อคำพูดนั้นมาถึงริมฝีปาก ก็กลับรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย
“พ่ะย่ะค่ะ” เขากล่าว
“เขาเป็นอะไรกับเจ้า?” องค์ประมุขเหลือบมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ข้างๆ
ไอ้ลูกเขยตัวเหม็น
อวี๋เซ่าชิงกล่าว “ลูกเขยของกระหม่อม เยี่ยนจิ่วเฉา”
องค์ประมุขตรัสอีกครั้ง “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเติบโตมาในต้าโจว?”
อวี๋เซ่าชิงตอบ “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเด็กที่บิดาบุญธรรมรับมาจากข้างถนน กระหม่อมก็ไม่รู้ว่าถูกผู้ใดพาไปที่ต้าโจว แต่อย่างไรก็ตาม กระหม่อมถูกบิดาบุญธรรมพากลับบ้านและเลี้ยงดูมาในหมู่บ้านเล็กๆ”
องค์ประมุขกวาดตามองเขาอย่างครุ่นคิด “อวี๋โหวที่มีคุณูปการในโยวโจวก็ชื่ออวี๋เซ่าชิง”
“เป็นกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ” อวี๋เซ่าชิงกล่าว
ในที่สุดองค์ประมุขก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าสาปแช่งในใจ เทพสงครามแห่งหนานจ้าววิ่งไปสร้างบุญคุณให้ชาวต้าโจว นี่มันเรื่องห่าเหวอันใดกัน?
เคราะห์ดีที่ทั้งสองประเทศไม่เคยทะเลาะกัน มิฉะนั้นหากพี่น้องฟาดฟันกันเอง ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ที่อยู่รอดจนถึงสุดท้าย
องค์ประมุขโบกมือ “เอาละ เจ้ากลับไปได้แล้ว”
อวี๋เซ่าชิงเป็นท่านโหวแห่งต้าโจว บุตรสาวของเขาแต่งงานกับซื่อจื่อแห่งเมืองเยี่ยน องค์ประมุขเชื่อว่าเห้อเหลียนเป่ยอวี้ไม่ได้โง่ถึงกับยกเรื่องที่เพียงสอบถามขุนนางต้าโจวก็รู้จริงเท็จมาหลอกลวงตนเอง
“เช่นนั้นลูกเขยกระหม่อม…”
“ข้าจะไม่ลงโทษเขา”
“พี่ใหญ่ของกระหม่อม…”
“ไร้ความผิด”
“บ้านภรรยากระหม่อม…”
“อย่ากำเริบให้มากนัก!”
อวี๋เซ่าชิงหุบปากลงด้วยความแค้นใจ
ก็ได้
กลับก็กลับ
องค์ประมุขกดคิ้วที่เหนื่อยล้า พลันถอนหายใจให้เยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าก็ลงไปเถิด ความผิดของเจ้าถูกยกเว้น แต่ความผิดของบิดาเจ้าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ข้าต้องการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด เพื่อหาคำอธิบายแก่เจ้าและราษฎรใต้หล้า ส่วนวิธีลงโทษเขา ข้าจะตัดสินใจเอง แต่ไม่ว่าข้าจะตัดสินใจอย่างไร หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ เจ้าก็คือเจ้า บิดาของเจ้าก็คือบิดาของเจ้า”
อย่าได้เกลียดหนานจ้าว เพียงเพราะข้าฆ่าพ่อเจ้า อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นเขยของสกุลเห้อเหลียน
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ตอบว่าได้หรือไม่ เขาเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา
ด้วยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเขา องค์ประมุขไม่ทราบว่าเพราะเขาเข้าใจเรื่องความชอบธรรมดี หรือเพราะเขาไม่ได้สนใจใยดีราชบุตรเขยกันแน่
เมื่อนึกถึงสิ่งที่บรรดาทูตที่เดินทางกลับมากล่าวถึงเยี่ยนจิ่วเฉา ก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้พูดเกินจริง เจ้าคนสติฟั่นเฟือนผู้นี้ เป็นเจ้าบ้าที่ทำให้คนเป็นบ้าได้จริงๆ
หลังจากใช้เวลากับเจ้าบ้าเพียงไม่นาน องค์ประมุขก็รู้สึกว่าจิตใจของตนเองดูผิดปกติไปเล็กน้อย…
เขานั่งลงรวบรวมความคิด มองไปที่ประมุขหญิงที่ตกตะลึงกับฉากนี้จนพูดไม่ออก “กลับไปที่จวนของเจ้า! หากไม่มีคำสั่งจากข้า เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากจวนเพียงก้าวเดียว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]