เป็นเวลาหลายวัน ซิวหลัวไม่ได้มาที่จวนเห้อเหลียนอีกเลย
ในอดีตเจียงไห่และชิงเหยียนแข่งหมากล้อมกันอยู่ในห้อง หลังจากซิวหลัวเดินแถวนี้ ทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปเล่นที่ลานกว้าง โดยบอกว่าเกรงซิวหลัวจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา ยามนี้ซิวหลัวไม่มาแล้ว ไม่มีใครคลุ้มคลั่ง แต่ทั้งสองยังคงวางกระดานหมากรุกไว้ที่สนามด้วยความเคยชิน
ทว่ายามที่ทั้งสองมองธรณีประตูเป็นครั้งคราว จะมีเพียงไข่ดำทั้งสามที่หงอยเหงานั่งอยู่
นมแพะของอาเว่ยก็ต้มมาเยอะเกินไป…
…
เรื่องตัวตนของคุณชายใหญ่จวนเห้อเหลียนกับราชบุตรเขยแพร่ไปทั่วราชสำนักและในหมู่ประชาชน อย่างไรก็ตามสามกระทรวงการพิจารณาคดีไม่ได้รับอนุญาตให้จัดการคดีนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเห็นขององค์ประมุข
ข่าวขององค์ประมุขถูกปิดไว้อย่างดี ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคดีนี้ไปเป็นอย่างไรแล้วหรือข่าวลือนั้นเป็นความจริงหรือไม่
ราชบุตรเขยที่ถูกคุมขังในคุกมีการป้องกันแน่นหนาที่สุด มีบางเรื่องที่ถามจากปากของเขา อย่างไรก็ตามเขาอาเจียนเป็นเลือดและสลบไปในวันแรกของการถูกจองจำ สิ่งนี้ทำให้พัศดีที่วางแผนจะเริ่มต้นทรมานทำอะไรไม่ถูก
ต้องไปทูลต่อองค์ประมุข
องค์ประมุขจะทำอย่างไรได้? แน่นอนว่าต้องรักษาอาการป่วยของราชบุตรเขยให้หายก่อน
เขาส่งหมอหลวงไปรักษาราชบุตรเขยอย่างละเอียด
คนที่มาก็คือหมอหลวงไป๋
หมอหลวงไป๋มีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เขาตรวจชีพจรของฮองเฮาในช่วงตลอดสองสามปีแรก หลังจากนั้นตี้จีองค์เล็กต้องการตัว เขาก็มักจะเดินอยู่ในจวนประมุขหญิงอยู่บ่อยครั้ง คุ้นเคยกับอาการของราชบุตรเขยเป็นอย่างดี
องค์ประมุขทรงพิจารณาถึงจุดนี้จึงส่งเขามา
คนที่มากับเขาคือหนานกงหลี
หนานกงหลีเป็นบุตรชายของราชบุตรเขย หากบุตรชายอยากพบราชบุตรเขยที่กำลังป่วยไข้ แม้แต่องค์ประมุขก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มาก แต่องค์ประมุขก็ไม่ได้ปล่อยให้หนานกงหลีเข้าไปเพียงลำพัง
“อาการชีพจรของราชบุตรเขยเป็นอย่างไรบ้าง?” นอกห้องขัง องค์ประมุขมองหมอหลวงไป๋ที่กำลังจับชีพจรของราชบุตรเขยด้วยสีหน้าจริงจัง
หมอหลวงไป๋ก้มหน้า ไม่มององค์ประมุขหรือหนานกงหลีที่ยืนอยู่ข้างกายองค์ประมุข และกล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ทูลฝ่าบาท ชีพจรของราชบุตรเขยยุ่งเหยิงยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันราชบุตรเขยเป็นไข้ลมหนาว มายามนี้มีความผิดต้องเข้าคุก โทสะกระทบจิตใจ แรงดันเลือดพุ่งสูง กระทั่งอาเจียนเป็นเลือดและหมดสติไป”
“ท่านพ่อข้าเป็นสิ่งใดร้ายแรงหรือไม่?” หนานกงหลีถามอย่างเป็นห่วง
หมอหลวงไป๋พูดอย่างลังเล “กระหม่อม…ไม่กล้ากล่าว”
ใบหน้าของหนานกงหลีหมองหม่น “หมอหลวงไป๋หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าท่านพ่อของข้าจะไม่ฟื้นขึ้นอีกแล้ว?”
หมอหลวงไป๋กระแอมในลำคอและกล่าวว่า “ทูลองค์ชาย กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น ทว่า…ราชบุตรเขยบาดเจ็บในช่วงแรก ได้ทิ้งต้นตอของโรค จึงทำให้ไม่อาจทนต่อความหงุดหงิด หากยังอยู่ในคุกต่อไปจะไม่เป็นประโยชน์ต่อการรักษา”
องค์ประมุขฮึดฮัดอย่างเย็นชา
ดูเหมือนเขาจะผิดหวังกับราชบุตรเขยที่หลอกลวงการแต่งงานผู้นี้ เขามีภรรยาและบุตรอยู่แล้ว กลับทอดทิ้งภรรยาและบุตร มาเกลี้ยกล่อมหลอกลวงบุตรสาวที่รักเพียงคนเดียวของเขากับฮองเฮา หากไม่เห็นแก่ฮองเฮา ไอ้สารเลวไร้ยางอายเช่นนี้ เขาคงลากออกไปเฆี่ยนโบยให้ตายเป็นร้อยรอบ!
องค์ประมุขไม่สนใจว่าราชบุตรเขยจะเป็นตายอย่างไร แต่หนานกงหลีไม่อาจปล่อยให้บิดาอยู่ในคุก
ประการแรก ราชบุตรเขยเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของเขา เขาไม่อาจทนเห็นบิดาทุกข์ทรมานได้ ประการที่สอง โรคของราชบุตรเขยมีความจริงที่ต้องปกปิด หากท่านตาทราบว่าหลายปีมานี้ ราชบุตรเขยถูกท่านแม่เก็บไว้ข้างกายอย่างไร ท่านแม่ก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอาย
“ท่านตา” หนานกงหลีอ้อนวอน “ส่งท่านพ่อกลับไปพักฟื้นที่จวนก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ท่านตาจะสั่งคนมาเฝ้าทั้งเช้าเย็นก็ได้ พวกเราจะไม่พบเขาโดยลำพัง รอให้ร่างกายของท่านพ่อดีขึ้น ท่านตาค่อยมาสอบสวน ท่านเห็นว่าอย่างไร?”
ปากก็บอกว่าจะไม่พบโดยลำพัง แต่จวนประมุขหญิงเป็นที่ของเขา เขาจะพบหรือไม่ มิใช่เพียงคำพูดประโยคเดียวหรือ?
แน่นอนว่าเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ท่านตารับรู้
องค์ประมุขกำลังกริ้ว จึงไม่ได้ทุกข์ใจกับราชบุตรเขยเช่นนี้ ทว่าหากราชบุตรเขยสิ้นใจตายในคุกจริง ผลที่ตามมาอาจเป็นหายนะ
ความผิดของราชบุตรเขยถูกประกาศแล้ว ไม่ว่าเขาจะฆ่าอย่างไรก็ถือว่ามีเหตุผล ยามนี้ทุกอย่างยังไม่ได้ข้อสรุป ความตายของราชบุตรเขยก็จะเปล่าประโยชน์
หนานกงหลีส่งสายตาให้หมอหลวงไป๋
หมอหลวงไป๋เข้าใจ รวบรวมสติ แล้วกล่าวกับองค์ประมุข “เพลานี้อากาศแปรปรวน คุกหลวงอับชื้น การระบายอากาศไม่ดี…”
องค์ประมุขโบกมืออย่างไม่อดทน “เอาละ ข้ารู้แล้ว ข้าอนุญาตให้เขาออกไปรักษาตัว”
หนานกงหลีลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ขอบพระทัยเสด็จตาพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าขณะที่หนานกงหลีกำลังจะเรียกคนให้นำราชบุตรเขยกลับไปที่จวนประมุขหญิง ผู้คุมก็เข้ามารายงาน ผู้นำจวนเห้อเหลียนกับคุณชายใหญ่จวนเห้อเหลียนขอพบเขา
เห้อเหลียนเป่ยหมิง? เยี่ยนจิ่วเฉา?
ดวงตาของหนานกงหลีเยือกเย็น
“ให้เข้ามาได้” องค์ประมุขตรัส
“พ่ะย่ะค่ะ” ผู้คุมเดินไปนำทั้งสองเข้ามาในเรือนจำ
“ฝ่าบาท” ที่ทางเดิน เห้อเหลียนเป่ยหมิงนั่งบนรถเข็น โค้งคำนับต่อองค์ประมุข จากนั้นก็คารวะหนานกงหลี “องค์ชายน้อย”
หนานกงหลีลอบมองเยี่ยนจิ่วเฉาและถามเห้อเหลียนเป่ยหมิงอย่างสุภาพ “เหตุใดแม่ทัพใหญ่ถึงมาที่นี่? มีเรื่องต้องการพบเสด็จตาของข้าหรือ?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวว่า “ข้าพาเฉาเอ๋อร์มาเยี่ยมพ่อของเขา”
วลี ‘พ่อของเขา’ ทำให้หนานกงหลีกำหมัดแน่น
เห้อเหลียนเป่ยหมิงมองราชบุตรเขย และองครักษ์ของจวนประมุขหญิงที่แบกเปลหามรออยู่ด้านข้าง พลางแกล้งถาม “นี่กำลังจะพาเยี่ยนอ๋องไปที่ใดหรือ?”
เขาถึงกับเปลี่ยนคำเรียกเป็นเยี่ยนอ๋อง ท่าทีของหนานกงหลีเริ่มทนไม่ได้ “พ่อของข้าไม่สบาย ท่านตาอนุญาตให้ข้าพาเขากลับไปรักษาอาการป่วยที่จวน เมื่อหายเป็นปกติค่อยพามาสอบสวนอีกครา”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “ช่างบังเอิญยิ่งนัก เฉาเอ๋อร์ก็มาเยี่ยมพ่อของเขาและพาหมอเทวดาผู้มีชื่อเสียงที่สุดของต้าโจวมาเช่นกัน”
หนานกงหลีกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จวนประมุขหญิงมีหมอหลวง ยังต้องกังวลเรื่องนี้อีกรึ?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “หมอชุยอยู่ด้านนอก เขาเป็นที่รู้จักในนามฮัวโต๋กลับชาติมาเกิด เขามีเข็มทองที่ส่งต่อจากบรรพบุรุษ ให้เขาฝังเข็มให้เยี่ยนอ๋องจะดีกว่า บางทีเยี่ยนอ๋องอาจฟื้นขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องกลับไปที่จวนประมุขหญิงก็เป็นได้”
สิ่งนี้ตรงใจองค์ประมุขอย่างยิ่ง
องค์ประมุขรีบร้อนอยากยืนยันข้อกล่าวหาของราชบุตรเขย ใคร่จะใช้น้ำสาดปลุกเขาจนแทบทนไม่ไหว
ดังนั้นจึงไม่รอให้หนานกงหลีปฏิเสธ องค์ประมุขจึงเรียกตัวหมอเทวดาชุยผู้ฟื้นจากความตายเข้ามาในคุก
กลุ่มคนยืนอยู่กลางทางเดิน ชุยเฒ่าก็เดินเข้ามาพร้อมกับล่วมยา
ชุยเฒ่าเริ่มตรวจอาการเยี่ยนอ๋อง
สายตาของหนานกงหลีตกกระทบใบหน้าของราชบุตรเขยชั่วขณะ จากนั้นก็ย้ายไปที่มือของชุยเฒ่าและสุดท้ายก็มองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาที่สงบนิ่งไม่พูดจา
เยี่ยนจิ่วเฉาสวมชุดผ้าสีน้ำหมึก เอามือไพล่หลังสบายๆ รูปร่างสูงตระหง่าน ใบหน้าหล่อเหลา ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายเชื้อพระวงศ์สูงส่งที่ยากจะมองผ่าน
ไม่ว่ารูปร่างหน้าตาหรือลักษณะท่าทาง หนานกงหลีสมควรเป็นที่หนึ่งในใต้หล้าโดยไม่ต้องสงสัย ทว่าเมื่อเทียบกับเยี่ยนจิ่วเฉา แม้แต่ตัวเขาเองก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่อาจเทียบกับคนที่ถูกเรียกว่าไอ้บ้าผู้นี้ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]