ประมุขหญิงปล่อยมือ และสูดหายใจเข้า “แน่นอน เจ้าเป็นลูกของท่านพ่อ ทว่าเพราะท่านพ่อของเจ้ารีบร้อนจากมา จึงรู้สึกผิดต่อเด็กคนนั้น และพยายามจะจดจำเขาไปตลอด แต่เจ้าได้เติบโตอยู่ข้างกายท่านพ่อ เป็นท่านพ่อให้เจ้าได้ก็เป็นให้แล้ว เขาไม่เสียใจ จึงย่อมไม่มีห่วงอะไรมากนัก”
หนานกงหลีดูไม่เชื่อ “เช่นนั้นหรือ? เหตุใดข้ารู้สึกราวกับ…”
ประมุขหญิงเอ่ยขัด “อย่าคิดมากไปเลย นิ้วทั้งสิบที่เหยียดออกยังมีสั้นยาว ฝ่ามือหลังฝ่ามือล้วนเป็นเนื้อทั้งหมด แต่สุดท้ายฝ่ามือก็หนาที่สุด หากจะโทษก็ต้องโทษที่ท่านพ่อของเจ้าเลือกที่รักมักที่ชัง”
หนานกงหลีเงียบงัน
ประมุขหญิงตบมือ “อยู่ดีๆ เหตุใดจู่ๆ ถึงคิดมากเช่นนี้?”
“ข้าก็บอกไม่ได้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้ จู่ๆ ก็…” หนานกงหลีส่ายศีรษะ “เอาละ ข้าไม่ควรสงสัยท่านแม่ ท่านแม่โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
ประมุขหญิงยิ้มอ่อนโยนพลางลูบแก้มของเขา “เจ้าเป็นลูกแม่ ไยแม่ต้องตำหนิเจ้า? เบื้องหน้าคือศัตรูตัวฉกาจ เราควรร่วมแรงร่วมใจผ่านความยากลำบากนี้ไปให้ได้ถึงจะถูก”
หนานกงหลีกล่าวอย่างรู้สึกผิด “สิ่งที่ท่านแม่กล่าวเป็นจริงอย่างยิ่ง”
ประมุขหญิงเอ่ย “เรื่องในอดีตของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องสงสัย”
หนานกงหลีกล่าวด้วยความกังวล “ทว่ายามนี้ท่านพ่ออยู่ข้างกายเยี่ยนจิ่วเฉา เขาต้องรู้ว่าตนเองเป็นใครในไม่ช้า ยามนั้นเขาก็จะ…”
ประมุขหญิงยิ้มอย่างเย็นชา “เขารู้แล้วอย่างไร? รู้แล้วจะไม่ต้องการเราสองแม่ลูกได้หรือ? เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นลูกของเขา เจ้าก็เช่นกัน แม้ว่าเขาจะจำข้าไม่ได้ แต่เขาไม่อาจตัดเลือดเนื้อของตนเอง”
ไม่รู้ว่าหนานกงหลีคิดไปเองหรือไม่ ยามมารดากล่าวเช่นนี้ ท่าทีของนางดูผิดแปลกไปเล็กน้อย แต่เพียงชั่วครู่ประมุขหญิงก็กลับมายิ้มน้อยๆ “เริ่มเย็นแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด ทำอารมณ์ให้ดี จึงจะสามารถต่อกรกับพวกคนที่ไม่คิดชีวิตนั่น”
หนานกงหลียืนขึ้น คารวะ “ลูกทูลลา”
ประมุขหญิงพยักหน้า
หนานกงหลีหมุนตัวเดินออกจากห้อง กำลังข้ามธรณีประตู ประมุขหญิงที่อยู่ด้านหลังก็เรียกเขา “หลีเอ๋อร์”
“มีอันใดหรือ? ท่านแม่” หนานกงหลีหันกลับมา
ขนตาของประมุขหญิงสั่นระริก พลางเอ่ยอย่างอบอุ่น “ไม่มีอันใด น้องสาวเจ้า ช่วยดูแลแทนแม่ที เรื่องบิดาเจ้า คนที่รับไม่ได้มากที่สุดก็คือนาง ข้ากังวลว่านางยังเด็กจะไม่เข้าใจและออกไปสร้างปัญหาอีก นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนพวกนั้น”
นี่คือสิ่งที่ท่านแม่ต้องการบอกกับเขาหรือ?
เหตุใดเขาถึงคิดว่า…
หนานกงหลีรวบรวมความคิด และพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะเฝ้าดูนางอย่างใกล้ชิด”
“ไปเถิด” ประมุขหญิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หนานกงหลีเดินออกไป
เขาไปที่ห้องของน้องสาว
ประมุขหญิงมองร่างที่ค่อยๆ เลือนหายไปในความมืด พลันเผยสีหน้าเหนื่อยล้า
ประมุขหญิงไม่ได้ฝันมานาน แต่คืนนี้นางตกอยู่ในฝันร้ายทันทีที่หลับไป
ว่ากันว่ากลางวันมีความคิดกลางคืนมีความฝัน เดิมทีหนานกงหลีถามเรื่องของตนเอง ประมุขหญิงคิดว่านางจะฝันถึงเด็กคนนั้น แต่สิ่งที่นางฝันกลับเป็นครั้งแรกที่ราชบุตรเขยตื่นขึ้นในหนานจ้าว
ราชบุตรเขยในวัยหนุ่มงดงามหล่อเหลา เป็นที่ดึงดูดของผู้คน
ประมุขหญิงมีชีวิตมาถึงสิบกว่าปียังไม่เคยเห็นบุรุษคนใดที่หน้าตาดีไปกว่าเขา
ตั้งแต่แรกเห็น ประมุขหญิงก็รู้ดีว่าชาตินี้นางไม่อาจแยกจากเขาได้
นางทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เขามา
แต่ประโยคแรกที่เขาตื่นขึ้นมา กลับเป็นคำถามที่เย็นชา “เจ้าชอบข้าที่สิ่งใดกันแน่?”
นางเอ่ยติดตลก “ชอบใบหน้าของท่านอย่างไรละ ทำไมหรือ? ไม่ได้รึ?”
มันเป็นแค่เรื่องตลก นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าราชบุตรเขยจะคิดจริงจัง เขาคว้าปิ่นปักผมข้างหมอน แทงใบหน้าอันไร้ที่ติของเขาอย่างไร้ความปรานี!
หากนางบอกว่านางชอบในหัวใจของเขา เขาจะควักหัวใจของตนเองออกมาตรงนั้นเลยหรือไม่?
ประมุขหญิงกระวนกระวาย ลุกขึ้นนั่งที่หัวเตียง
นางหอบด้วยความตกใจ
เสื้อผ้าเปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อ ที่นอนเหนียวเหนอะหนะ
นางยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก
หญิงรับใช้กะดึกได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงถือตะเกียงเข้ามา “ฝ่าบาท ท่านตื่นแล้วหรือเพคะ? มิได้เป็นอันใดใช่หรือไม่เพคะ?”
หน้าอกของประมุขหญิงราวกับถูกหินก้อนใหญ่ปิดกั้น นางถูมันอย่างไม่สบายใจ “รินน้ำให้ข้าถ้วยหนึ่ง”
“เพคะ” ข้ารับใช้หญิงวางตะเกียงลงบนโต๊ะ เดินไปรินชาร้อน เปิดม่านแล้วยื่นให้ประมุขหญิง
ประมุขหญิงเอื้อมมือไปหยิบ แต่มือของนางสั่นจนถ้วยน้ำชาตกลงบนที่วางเท้า น้ำชากระเด็นถูกเสื้อผ้าของประมุขหญิง
นี่เป็นความผิดของประมุขหญิง แต่ข้ารับใช้หญิงไม่กล้าโยนความผิด รีบคุกเข่าลง “ฝ่าบาทโปรดอภัยด้วย!”
“ราชบุตรเขยเล่า?” ประมุขหญิงเอ่ยเสียงสั่นเครือ
ข้ารับใช้หญิงตอบ “ราชบุตรเขยอยู่ที่จื่อเวยเก๋อเพคะ”
ประมุขหญิงชะงักไปชั่วขณะ
ใช่ เขาย้ายไปที่จื่อเวยเก๋อ ซึ่งอยู่ข้างกายเยี่ยนจิ่วเฉา
เขาถูกแย่งไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]