หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 31

การเพาะเมล็ดมารสำเร็จ หมายความว่าคนหนึ่งพันคนที่ถูกจับไปถูกดึงวิญญาณออกมาแล้ว ความเป็นไปได้ที่คนติดตามผู้นั้นจะมีชีวิตรอดแทบจะเป็นศูนย์

โจวจิ่นรู้สึกหายใจไม่ออกลึกๆ

คนติดตามคือคนแรกที่ปรารถนาดีต่อเขา หลังจากเขามาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ‘เขา’ ซึ่งหมายถึงเขาที่เป็นโจวจิ่น มิใช่ประมุขศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์

ครั้งแรกที่เขาพยายามจะหนีจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ เขาซ่อนตัวอยู่ในบ้านไม้หลังหนึ่ง และบังเอิญพบทาสใบ้ที่ทำงานในเรือนด้านนอกกลับมาพอดี ทาสใบ้ต้มโจ๊กร้อนให้เขาชามหนึ่ง

หลังจากนั้น แน่นอนว่าเขาถูกสุ่ยเยว่ชิงและคนอื่นๆ ตามจนพบ เขาขอให้ทาสใบ้อยู่ข้างกาย หลังจากทาสใบ้รู้ว่าเขาเป็นใคร คราแรกก็ประหม่าอยู่บ้าง แต่หลังจากอยู่ด้วยกันได้สักพักก็ค่อยๆ ยอมรับหน้าที่ใหม่ของตน

เขายังคงทำงานปัดกวาดเช็ดถู แต่ไม่ต้องพบเจอกับสายตาเย็นชาจากผู้คนอีกแล้ว เขาดูแลเรือนของโจวจิ่นได้ตามต้องการ

ในนิกายศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีผู้ใดเห็นทาสใบ้ที่ไร้คุณสมบัติบำเพ็ญคนหนึ่งในสายตา แต่หากทาสใบ้ผู้นี้เป็นคนเดียวที่โจวจิ่นให้อยู่ข้างกาย เช่นนั้นสถานะของเขาก็สูงขึ้นเช่นกัน

คนไม่น้อยพยายามซื้อตัวทาสใบ้ อยากให้ทาสใบ้โน้มน้าวโจวจิ่น หรือหากโจวจิ่นหนีอีกครั้งก็ให้รายงานพวกเขา แต่ทาสใบ้ไม่ยอมรับการบีบบังคับหรือสิ่งล่อใจใดๆ เขาตั้งใจทำหน้าที่ของตนและตั้งใจภักดีต่อโจวจิ่น

ในสายตาทุกคน เขาเป็นประมุขศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงเวลาที่เขาอยู่กับทาสใบ้เท่านั้นที่เขาจะรู้สึกว่าตนยังเป็นโจวจิ่นแห่งเผ่าพ่อมด

ดังนั้นครั้งสุดท้ายที่เขาหนีออกจากนิกายศักดิ์สิทธิ์ โจวจิ่นจึงพาทาสใบ้ไปกับเขา

แต่โจวจิ่นไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายต้องมาจบชีวิตลงด้วยเหตุนี้

“ข้าทำให้เขาตาย…” ดวงตาของโจวจิ่นเปลี่ยนเป็นสีแดง

สุ่ยเยว่ชิงไม่ใช่คนเลือดเย็น อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นคนของนิกายศักดิ์สิทธิ์ ต้องมาตายด้วยน้ำมือเผ่ามารเช่นนี้ เขาเองก็คับแค้นเต็มอก ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ใช่คนเดียวที่ถูกสังหารอย่างทารุณ

“พวกเรายังสู้ไม่ดีพอหรือ?”

เสียงอ่อนเยาว์หนึ่งดังมาจากด้านหลัง

สุ่ยเยว่ชิงหันไปก็เห็นไข่ดำน้อยทั้งสามนั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง ด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

แม้จะโกรธเด็กเหล่านี้จนเจ็บปวดใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสาม ความกล้าหาญยามเผชิญหน้ากับเผ่ามารของพวกเขาก็ผุดขึ้นมา สุ่ยเยว่ชิงส่ายหน้า “ไม่เลย พวกเจ้าต่อสู้ได้ดีมาก แต่เรามาช้าไป”

ยามที่หลัวช่าน้อยกับโจวจิ่นออกจากสุสาน เหล่าเครื่องสังเวยก็ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง กว่าพวกสุ่ยเยว่ชิงจะมาถึงวังมารก็ไม่มีชีวิตใดเหลือรอดแล้ว เพียงแต่การดับและสกัดวิญญาณออกมาต้องใช้เวลา และยามนี้มันหลอมรวมสำเร็จแล้ว จิตวิญญาณของประมุขมารกลืนกินมัน กลายเป็นเมล็ดมารใหม่ ซึ่งเรียกได้ว่าทำวิญญาณมารสำเร็จแล้ว

“มีวิญญาณของประมุขมารแล้ว เช่นนั้นร่างกายละ?”

“พวกเขาสร้างร่างใหม่ไว้นานแล้ว ขาดเพียงตันภายในระดับสูงสุดเท่านั้น” ขณะที่สุ่ยเยว่ชิงเอ่ยเช่นนี้ ก็ไม่ลืมที่จะเหลือบมองไปในห้อง “เดิมทีเผ่ามารต้องการใช้ตันภายในระดับสูงของผู้บำเพ็ญมาร ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลังจากนั้นจะได้พบร่างรวมเผ่าศักดิ์สิทธิ์และมาร ตันภายในประเภทนี้แข็งแกร่งกว่าตันภายในของผู้บำเพ็ญมารมาก ไม่เพียงแต่สามารถปรับให้เข้ากับชี่มาร แต่ยังปรับให้เข้ากับหลิงชี่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อีกด้วย ทันทีที่ข้ารู้เรื่องจึงต้องแย่งสิ่งชั่วร้ายตัวน้อยนั่นออกมา”

“เขามีชื่อ เรียกว่าเสี่ยวเจา” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว

สุ่ยเยว่ชิงตะลึงไปพักหนึ่ง อยู่ด้วยกันมาทั้งเช้า เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าแท้จริงเสี่ยวเจาไม่ใช่บุตรของพวกเขา เป็นไข่น้อยทั้งสามกับทารกหญิงต่างหาก แต่พวกเขาตั้งชื่อให้สิ่งชั่วร้าย บ้าบอชะมัด

สุ่ยเยว่ชิงไม่ได้ติดกับปัญหานี้นานนัก สำหรับเขา สิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้คือการต่อสู้กับเผ่ามาร “พวกเจ้าอย่าเพิ่งมีความสุขเร็วไป แม้ประมุขมารจะยังไม่ได้ตันภายในร่างรวมเผ่าศักดิ์สิทธิ์และมาร แต่ก็ยังแข็งแกร่งมากพอ”

“เขาแข็งแกร่ง เหตุใดไม่ออกมาเล่า?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม

สุ่ยเยว่ชิงเอ่ยเสียงขรึม “นั่นเป็นเพราะวิญญาณมารยังต้องหลอมรวมกับร่างกายใหม่”

“อ้อ” เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้วหันหลังกลับเข้าห้องไป

“เจ้าจะทำอะไร?” สุ่ยเยว่ชิงเอ่ยทัก

เยี่ยนจิ่วเฉาร้องอ้อแล้วเอ่ยว่า “รีบหนีในตอนที่ประมุขมารยังไม่มีเวลามาทำลายโลก รีบกลับไปที่ที่จากมา”

สุ่ยเยว่ชิงหายใจไม่ออก “เจ้าไปเช่นนี้ ใจเจ้าไม่รู้สึกละอายสักนิดหรือ? หากเมื่อคืนเจ้าไม่สร้างปัญหา ข้าอาจทำลายวังมารและขัดขวางการเพาะเมล็ดมารสำเร็จไปแล้ว!”

เยี่ยนจิ่วเฉาหันกลับมามองสุ่ยเยว่ชิงเนิ่นนาน

สุ่ยเยว่ชิงถูกจ้องมองจนรู้สึกชาหัว “เจ้ามองอะไร?”

“ดูว่าหน้าเจ้าหนาเพียงใด” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว

“เจ้า…” สุ่ยเยว่ชิงสำลัก

เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้าไม่ใช่คนนิกายศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้า ภารกิจนิกายศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าไม่เกี่ยวกับข้า เมื่อคืนข้าก็ไม่ได้เรียกให้เจ้าไปที่ค่ายทหารเผ่ามาร เป็นเจ้าที่ปวดหัวตามมาเอง แล้วบัดนี้มาโทษข้า พวกเจ้าคนนิกายศักดิ์สิทธิ์ ไร้ยางอายเช่นนี้ทุกคนหรือ?”

สุ่ยเยว่ชิงแทบกระอักเลือด

เจ้าเอ่ยเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร? ดูสิ่งที่เราสองคนทำ ผู้ใดกันแน่ที่หน้าด้านกว่า?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]