เมื่ออวี๋หวั่นตัดสินใจแล้ว ทั้งห้าคนจึงตัดสินใจปักหลักบนถนนซื่อสุ่ย
นี่เป็นเรือนที่เยี่ยนอ๋องตัดสินใจโดยบังเอิญ เรือนหลังนี้สะอาดและห่างไกลผู้คน ไม่ได้ใหญ่เท่าจวนสกุลเห้อเหลียน แต่เมื่อสามารถออกไปข้างนอกได้ มีถนนให้วิ่งเล่น เด็กน้อยทั้งสามก็สามารถปรับตัวกับชีวิตตอนนี้ได้อย่างรวดเร็ว
ประสบการณ์ที่พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านเหลียนฮวาก็ไม่ใช่ไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว ความสามารถในการปรับตัวของพวกเขาดีกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก
เมื่ออิ่งลิ่วไปแจ้งข่าวที่จวนสกุลเห้อเหลียน ก็ไม่ลืมที่จะรับฝูหลิงและจื่อซูมาด้วย ในเรือนจึงมีสาวใช้ อวี๋หวั่นจึงมีเวลาทำเรื่องของตัวเองสักที
ปกติแล้วเธอจะต้มยาและฝังเข็มให้เยี่ยนจิ่วเฉา ที่น่ากล่าวถึงมากที่สุดก็คือหลังจากที่เธอฝังเข็มจนสามีสลบไปไม่รู้กี่ครั้ง ฝีมือการฝังเข็มของเธอก็รุดหน้าไปมาก เธอสามารถทำได้โดยไม่ต้องมีชุยเฒ่าคอยดู
เยี่ยนจิ่วเฉาออกไปข้างนอกน้อยครั้งกว่าเดิม เขาอาจไม่ได้พูดอะไร แต่อวี๋หวั่นรู้ดีว่าลึกๆ ในใจแล้วเขาอยากอยู่เป็นเพื่อนเยี่ยนอ๋อง
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าอวี๋หวั่นแดกดันเขาแต่อย่างใด ทว่าอายุของเขาได้เกินวัยน่ารักมาแล้ว จะมีผลอะไรต่อจิตใจของเยี่ยนอ๋องเชียวหรือ? กลับเป็นเด็กน้อยทั้งสามคน พวกเขาทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะ แม้แต่เมื่อพวกเขาทำท่าทาง หรือเรียนรู้ประโยคใหม่ๆ มากขึ้น ก็ทำให้เยี่ยนอ๋องปลื้มใจเหลือเกิน
บางครั้งเยี่ยนอ๋องจะนึกภาพของเยี่ยนจิ่วเฉาในวัยเด็ก นำมาเปรียบกับลูกชายที่ตามติดเขาแจในตอนนั้น เยี่ยนอ๋องคิดว่าเด็กน้อยทั้งสามคนว่าง่ายกว่ามาก เมื่อปล่อยพวกเขาไว้ พวกเขาก็จะเล่นได้ด้วยคนเอง ไม่ร้องไห้งอแง
เยี่ยนอ๋องมักจะรำพึงรำพันว่า บนโลกนี้มีเด็กที่ว่าง่ายถึงเพียงนี้ด้วยหรือ?
วันนี้อากาศแจ่มใส
เยี่ยนอ๋องหยิบหนังสือที่ตนเองเก็บไว้ออกมา
เยี่ยนอ๋องเป็นบัณฑิต ในชีวิตไม่มีงานอดิเรกอื่นใด เขาชื่นชอบการสะสมหนังสือของปรมาจารย์วิชาการเขียนพู่กันที่มีชื่อเสียง ครั้นออกมาจากจวนประมุขหญิง เขาไม่ได้ต้องการเงินทองหรือทรัพย์สิน แต่กลับหยิบบันทึกและผลงานต่างๆ ที่เขาสะสมมานานโดยไม่มีตกหล่นแม้แต่ชิ้นเดียว
หนานจ้าวฝนตกบ่อยและอากาศชื้น เขาจึงต้องนำของสะสมออกมาผึ่งแดดบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อป้องกันไม่ให้ขึ้นรา
เด็กทั้งสามไปนอนกลางวัน พวกเขานอนหัวไปคนละทางหางไปคนละทิศ หลับอย่างสบาย
เยี่ยนอ๋องหยิบของออกมากล่องใหญ่ นำมาวางบนสนามหญ้าในลานบ้าน หลังจากนั้นเขาจึงเดินไปยังห้องครัวเล็ก
ฝีมือการทำอาหารของเขาไม่ดี แต่เขามีความสุขเหลือเกินที่ได้ทำอาหารให้ซั่งกวนเยี่ยนและเด็กๆ
เขาต้มพุทราจีนกับเม็ดบัว ต้มไปได้สักพักจึงคิดว่าเด็กๆ น่าจะตื่นแล้ว เขาจึงรีบตรงไปที่ห้อง ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อเปิดประตูดู ในห้องกลับว่างเปล่า เตียงนอนเย็นเฉียบ นั่นหมายความว่าพวกเขาออกไปนานแล้ว
เขาใจหายวาบ และเดินตามหาพวกเขา ในที่สุดก็หาพวกเขาพบในลานหลังบ้าน ขาน้อยๆ นั่งขัดสมาธิ อาบแดดอยู่บนสนามหญ้า
เยี่ยนอ๋องมองร่างเล็กๆ ของพวกเขา ใจซึ่งหายวาบไปก็กลับมาอยู่ที่เดิม จิตใจกลับมาสงบอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
เมื่อตื่นนอนแล้วกลับไม่ร้องไห้งอแงร้องเรียกให้คนมาอุ้ม ว่าง่ายเสียจริง
แคว่กกก
เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในสมอง ก็มีเสียงคล้ายกับบางอย่างฉีกขาดดังมาจากมือของพวกเขา
เยี่ยนอ๋องชะงักไป ทันใดนั้นก็นึกบางเรื่องขึ้นได้ จึงสาวเท้าเข้าไปทันที!
และพบว่าเศษกระดาษกระจัดกระจายเต็มพื้น…
น…น…หนัง…หนังสือของเขา!
ตำราโบราณของเขา!
บันทึกของราชวงศ์ก่อนๆ!
เด็กน้อยทั้งสามฉีกอย่างมีความสุข ฉีกกระดาษสนุกจังเลย ล้าลาลา!
เยี่ยนอ๋องพยายามกดหน้าอกเอาไว้ เขาแทบหน้ามืดล้มลงไปกองกับพื้น!
……
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ!” เซียวเจิ้นถิงเห็นเหตุการณ์กับตาตนเอง กลับเรือนมาพร้อมกับนึกถึงท่าทางชอกช้ำระกำใจของเยี่ยนอ๋อง เขาก็หัวเราะจนตัวโยน
นี่แหละที่เรียกว่ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น!
ชอบอะไรไม่ชอบ กลับชอบหนังสือ นั่นก็แค่กระดาษบางๆ ไม่ใช่หรือ จะสะสมไปทำไม?
เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยนอ๋อง เซียวเจิ้นถิงก็พลันรู้สึกว่าตนจะมีความสุขไปอีกหนึ่งปีทีเดียวเชียว
เด็กน้อยทั้งสามเป็นเด็กที่น่ารักจริงๆ ทำให้ท่านปู่ของพวกเขาโมโหจนหน้าดำคร่ำเครียด!
“ฮ่าๆๆๆๆๆ…” เซียวเจินถิงมีความสุขเหลือเกินจนหัวเราะไม่หยุด
ทันใดนั้นเอง ซั่งกวนเยี่ยนก็เดินเข้ามา แล้วมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ “ทำไมท่านหัวเราะขนาดนี้? พวกต้าเป่ามา ท่านช่วยดูพวกเขาหน่อย”
เซียวเจิ้นถิงปัดฝ่ามือใหญ่ของตน เหล่าวีรบุรุษตัวน้อยมา เขาย่อมต้องตบรางวัลให้พวกเขาอย่างเต็มที่!
เซียวเจิ้นถิงหยิบถังหูลู่ที่เพิ่งซื้อมา ไปให้เด็กน้อยทั้งสามในลานบ้าน
ในลานบ้านของเขาเลี้ยงไก่เอาไว้
ซั่งกวนเยี่ยนเป็นคนริเริ่มความคิด นางบอกว่าเด็กๆ ชอบ
เด็กๆ นั่งยองอยู่ที่พื้น ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร
ใบหน้าของเซียวเจิ้นถิงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “ต้าเป่า เอ้อร์เป่า เสี่ยว…”
ยังพูดไม่ทันจบ รอยยิ้มของเขาก็ชะงักไปทันที
เด็กๆ กำลังถืออะไรอยู่ในมือนะ?
นั่นไม่ใช่กริชที่เขาสะสมไว้หรอกหรือ? ทั้งหมดห้าเล่ม ทุกเล่มเป็นเลิศในใต้หล้า ล้วนแต่เคยดื่มเลือดของฮ่องเต้และประมุขมาแล้วทั้งสิ้น! ทุกเล่มคือลมหายใจของเซียวเจิ้นถิง!
พวกเขากำลังใช้กริชล้ำค่าของเขา ตัก! ขี้! ไก่!
อ๊ากกกกก
เซียวเจิ้นถิงล้มทั้งยืน!
……
ตกเย็น เด็กทั้งสามกินอาหารเย็นที่เรือนของเยี่ยนอ๋องก่อน จากนั้นก็ไปกินของว่างที่เรือนของซั่งกวนเยี่ยน พวกเขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล สีหน้าของท่านปู่ทั้งสองย่ำแย่เหลือเดิน
พวกเขามีเรื่องไม่สบายใจ
ผู้ใหญ่ก็เป็นเช่นนี้แหละ มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้ไม่สบอารมณ์ได้ ไม่รู้ความเหมือนเด็กอย่างพวกเขาเลย
พวกเขามีความสุขทุกวันเลย เห็นไหม?
พวกเขาซึ่งฉีกหนังสือโบราณ ใช้กริชล้ำค่าตักขี้ไก่ เดินไปอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์!
ซั่งกวนเยี่ยนนอนอยู่บนเตียง พลิกไปพลิกมา นอนไม่หลับสักที
นางอายุไม่น้อยแล้ว ไม่ว่าอย่างไรร่างกายก็สู้ตอนตั้งท้องเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้ เพิ่งจะหกเดือนแต่แขนขาของนางบวม
เหลือเกิน แน่นอนว่าท้องไส้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน นางกินมากกว่าแต่ก่อน
“หิวหรือ? เจ้าอยากกินอะไร” เซียวเจิ้นถิงเอ่ยถามด้วยความเอาใจใส่
เต้าหู้เหม็น
แต่ที่หนานจ้าวไม่มีเต้าหู้เหม็น จะทำตอนนี้เห็นทีคงไม่ทัน
ซั่งกวนเยี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “บัวลอย ข้าได้ยินว่าในเมืองหลวงมีบัวลอยร้านดัง ข้าไม่เคยกิน พวกต้าเป่าชอบกิน”
“ข้าจะไปซื้อให้” เซียวเจิ้นถิงไม่พูดพร่ำทำเพลง สวมเสื้อผ้า แล้วไปถามที่ตั้งของร้านนั้นจากอวี๋หวั่น
หลังจากได้ความแล้ว เซียวเจิ้นถิงก็ตรงดิ่งไปยังร้านนั้นอย่างเร็วที่สุด ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ร้านคงใกล้จะปิดแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้นคนไม่มาก ทำให้สามารถซื้อบัวลอยที่ซั่งกวนเยี่ยนปรารถนาจะลิ้มลองได้อย่างรวดเร็ว เขาซื้อมามากสักหน่อย ประเดี๋ยวจะเอาไปให้พวกต้าเป่ากินด้วย
แต่ขณะที่เขาถือโหลบัวลอยกลับจวนนั้น ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในทันใด
ในตอนนี้ผู้คนผ่านไปมาบนถนนมีไม่มาก ถนนเงียบสงัด มีเพียงแสงนวลของดวงจันทร์
เซียวเจิ้นถิงขมวดคิ้วตามสัญชาตญาณ
เขาสังหารศัตรูมานับไม่ถ้วน จนจิตใจแข็งแกร่ง ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่อาจทำให้เขาหน้าถอดสีได้ ทว่าเมื่อครู่ เขากลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงที่ไม่ได้สัมผัสมานาน นั่นคือความรู้สึกยามเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง
จิตสังหารนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เซียวเจิ้นถิงกอดบัวลอยเอาไว้แน่น พลางจ้องไปยังทิศทางนั้น
รถม้าซึ่งแลดูไม่สะดุดตาคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามา
จิตสังหารนี้ออกมาจากรถม้า
ไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน!
เซียวเจิ้นถิงไม่ใช่คนที่จะรอให้อีกฝ่ายลงมือก่อนแล้วจึงตอบโต้ เขามีสัญชาตญาณความเป็นนักรบ เขาไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร สู้กันก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
เมื่อเห็นว่ารถม้ากำลังจะเคลื่อนผ่านตน เขาก็กำหมัดแน่น แล้วต่อยออกไป!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]