อวี๋หวั่นรู้อยู่ว่าฮองเฮาไม่ได้เรื่องนัก แต่ไม่คาดคิดว่าไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้ กระทั่งเด็กสามขวบก็ยังทำร้ายได้ลงคอ เยี่ยงสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง
แต่คิดไปคิดมาก็ไม่แปลก อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางลงมือกับเด็ก เมื่อก่อนท่านแม่ของเธอถูกกลอุบายของฮองเฮาขับออกจากวังทั้งที่ยังเป็นทารก เมื่อเจ้าวัดไม่ดี หลวงชีก็สกปรก ไม่แปลกใจที่หนานกงเยี่ยนโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้ ความกล้าหาญวางยาพิษเยี่ยนจิ่วเฉาในวัยเด็กถูกถ่ายทอดมาจากครรภ์มารดานี่เอง
ในเมื่อรู้แล้วว่าต้าเป่าถูกฮองเฮาทำร้าย เช่นนั้นอวี๋หวั่นก็ไม่อาจปล่อยให้เด็กๆ อยู่ที่ตำหนักจงกงอีกต่อไป
อวี๋หวั่นให้อิ่งสือซันกลับไปก่อน ส่วนเธอจะไปที่ตำหนักจงกงอย่างเปิดเผย
องค์ประมุขมีใจห่วงใยเด็กๆ มากขึ้น เพื่อที่จะดูแลพวกเขา จึงรับสั่งให้คนย้ายฎีกาทั้งหมดไปยังห้องตำราของตำหนักจงกง ขณะที่เขากำลังตรวจฎีกา จู่ๆ ขันทีหวังก็กระวีกระวาดเข้ามาในห้อง “ฝ่าบาท”
“มีอันใด?” องค์ประมุขกล่าวโดยไม่ละสายตาจากฎีกาตรงหน้า
ขันทีหวังชะงักไปและพูดว่า “องค์หญิงน้อยเดินทางมาพ่ะย่ะค่ะ”
“ซีเอ๋อร์มาหรือ?” องค์ประมุขส่งเสียงอืมตอบรับ “ให้นางไปหาฮองเฮาก่อน ข้ายังมีราชกิจในมือ”
ขันทีหวังกระแอมเล็กน้อย “ไม่ใช่องค์หญิงซี แต่เป็นองค์หญิงหวั่นพ่ะย่ะค่ะ”
มือที่ตรวจฎีกาขององค์ประมุขหยุดชะงัก ไม่ได้โต้แย้งขันทีหวังที่เรียกอวี๋หวั่นเช่นนี้ เพียงแต่ถามว่า “มาที่วังหลวงหรือ?”
ขันทีหวังยิ้มแหย “ไม่ใช่วังหลวง แต่เป็นตำหนักจงกงพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ประมุขมือสั่น “ผู้ใดปล่อยให้เด็กคนนั้นเข้ามา?”
ขันทีหวังก็สงสัยเช่นกัน ตอนที่พบกับอวี๋หวั่นที่ประตู เขายังคิดว่าตัวเองเห็นผี เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าอวิ๋นเฟยไม่มีป้ายสัญลักษณ์เข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ ดังนั้นองค์หญิงหวั่นเข้ามาได้อย่างไร?
“ก่อเรื่องวุ่นวาย!” องค์ประมุขกดเสียงต่ำ แต่กลับไม่ได้ถามอะไรต่อ และตรัสกับขันทีหวัง “ให้นางเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีหวังรับคำสั่งอย่างนอบน้อม ไปประตูตำหนักจงกงเพื่อนำอวี๋หวั่นเข้ามา
ด้านนอกห้องตำราเล็ก ขันทีหวังหยุดเดิน “ฝ่าบาท องค์หญิงหวั่นมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อื้ม”
เสียงทุ้มต่ำในลำคอขององค์ประมุขดังออกมาจากห้องตำรา
ขันทีหวังค้อมกายและชี้ไปที่ห้องตำรา “องค์หญิงหวั่น เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
อวี๋หวั่นไม่ยอมรับตำแหน่งนี้ แต่ขันทีหวังเป็นคนดีเธอจึงไม่ทำให้เขาลำบากใจ หลังจากพยักหน้าตอบรับก็เดินเข้าไป
องค์ประมุขนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เหลือบมองอวี๋หวั่นพลางตรัสอย่างเฉยเมย “มิใช่ปฏิเสธไม่ยอมรับข้ารึ? เหตุใดจึงมาหาข้าได้?”
วันนี้อวี๋หวั่นไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับเขา หากการทะเลาะกันยิ่งแย่ลง ก็มีแต่จะผลักให้เขาไกลออกไป แม้มีหรือไม่มีท่านตาผู้นี้ไม่ได้แตกต่างกันนัก แต่หากเป็นผลดีกับฮองเฮานั่นก็ได้ไม่คุ้มเสีย
อวี๋หวั่นพูดอย่างอารมณ์ดี “ข้ามารับเด็กๆ กลับจวน”
องค์ประมุขได้เห็นท่าทีอ่อนโยนเชื่อฟังที่หาได้ยากของอวี๋หวั่น ทั้งน้ำเสียงก็ยังผ่อนคลายลงมาก “ฮองเฮาดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี เจ้าไม่ต้องกังวลไป ให้พวกเขาอยู่ในวังอีกสักสองสามวัน”
ตาแก่ไม่รู้อะไร บุตรของข้าเพิ่งอยู่ในวังได้ไม่เท่าไร ก็ถูกฮองเฮาแม่จันทร์กระจ่างของท่านทำร้ายจนตกน้ำ หากอยู่ต่อไปข้าเกรงว่าจะไม่ได้พบกันอีก
อวี๋หวั่นไม่ได้กระวนกระวานโต้เถียงกับเขา อย่างไรเสียหลังจากพบบุตรชายแล้ว พวกเขาก็จะติดเธอและอยากจะกลับไปกับเธอเอง
“ให้ข้าไปดูพวกเขาก่อนแล้วกัน” อวี๋หวั่นกล่าว
องค์ประมุขพยักหน้าและวางฎีกาในมือลง “ข้าจะพาเจ้าไป”
ขันทีหวังหน้ามุ่ย ตอนที่ทราบว่าองค์หญิงมา ท่านยังไม่เห็นร้อนใจละทิ้งราชกิจเช่นนี้ คงกลัวว่าเหล่าคุณชายน้อยจะไม่ต้องการทวดอย่างท่าน แล้วตามมารดากลับจวนกระมัง?
ไม่ต้องพูดแล้ว องค์ประมุขกังวลใจเช่นนี้จริงๆ
ยามออกจากห้องตำราเล็ก เดินผ่านไหล่ขันทีหวัง องค์ประมุขกระแอมในลำคอด้วยสีหน้าราบเรียบ รับสั่งด้วยเสียงแผ่วเบาที่ได้ยินเพียงสองคน “นำตราหยกของข้ามาด้วย”
ขันทีหวัง “…”
เจ้าแผนการ!
เด็กน้อยทั้งสามนอนหลับและตื่นขึ้นในช่วงเวลาอาหารค่ำ เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นก็พบว่ามารดาของพวกเขานั่งอยู่ข้างๆ เด็กน้อยสามคนถึงกับผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นทุกคนก็รีบโผเข้าสู่อ้อมแขนของอวี๋หวั่น
“ท่านแม่ ท่านแม่ เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านยิ่งนัก!”
“เอ้อร์เป่าก็คิดถึงท่านแม่!”
ต้าเป่าพยักหน้า
เป็นความหมายว่าเขาก็คิดถึงท่านแม่เหมือนกัน
อวี๋หวั่นกอดเด็กชายทั้งสามไว้ในอ้อมแขนและพรมจูบที่หน้าผากของพวกเขา “แม่ก็คิดถึงพวกเจ้านะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]