ตี้จีองค์โตตั้งแต่เกิดก็ถูกสาปแช่ง นางถูกส่งออกจากหนานจ้าวไปนานหลายปี เมื่อไม่นานนี้นางพาครอบครัวกลับมาที่เมืองหลวง แต่นางดูไม่เหมือนในข่าวลือนัก อสูรเดียวดายที่พูดกัน กลับมีครบทั้งบุตรหญิงชายและหลานเต็มเรือน
แทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง
ผู้คนรออย่างใจจดใจจ่อ ตี้จีองค์โต เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ก็ร้อนใจเช่นกัน
นางพลิกตัวไปพลิกตัวมา นอนไม่หลับทั้งคืน อีกทั้งยังตื่นแต่เช้าตรู่ ใบหน้าเล็กๆ ก็เกิดรอยคล้ำใต้ตาอันน่าสงสาร
ทำให้อวี๋เซ่าชิงเจ็บปวดใจยิ่งนัก
อาซูของเขาเกิดมาในหมู่สามัญชน ไม่เคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้ ช่วงนี้เขามักจะรู้สึกว่าอาซูลุกนั่งไม่ติด พลิกตัวไปมา นางคงหวาดกลัวมากเป็นแน่
อวี๋เซ่าชิงมองภรรยาที่หวาดกลัวจนร่างกายคล้ายกับสั่นระริก แต่กลับยังข่มใจแต่งตัวอยู่หน้ากระจก “อาซู ไม่เช่นนั้นเจ้าไม่ต้องไปดีกว่ากระมัง? ให้อาหวั่นไปแทนเจ้า”
“จะได้อย่างไร?!” เจียงน้อยตบโต๊ะ
อวี๋เซ่าชิงผงะตกใจ
นางเจียงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดที่มุมปาก มืออีกข้างกุมหน้าอก แล้วกล่าวด้วยท่าทางสตรีผู้บอบบางน่าทะนุถนอม “แค่กๆๆ สาส์นก็รับมาแล้ว อย่างไรก็ต้องไป ไม่เช่นนั้นหากพวกเขาเบี้ยวจะทำอย่างไร?”
“ทำให้เจ้าลำบากแล้ว” อวี๋เซ่าชิงเดินไปข้างหน้าด้วยหัวใจที่เจ็บปวด และปลอบโยนนางเบาๆ “อาซูไม่ต้องกลัว เจ้าแค่ไปเผยหน้า ไม่ต้องสู้กับพวกเขา”
นางเจียงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อื้อ!”
นางชะงักครู่หนึ่ง จึงเอ่ยต่อ “หากพวกเขาโจมตีข้าจะทำอย่างไร?”
อวี๋เซ่าชิงกล่าวอย่างหนักแน่น “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
ดวงตาของนางเจียงกลิ้งกลอกไปมา “อ้อ”
“ข้าจะไปดูว่าอาหวั่นกับจิ่วเฉาเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว” อวี๋เซ่าชิงไปที่ห้องสองสามีภรรยา ทั้งสองตื่นแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉากำลังสวมรองเท้าให้เสี่ยวเป่า ส่วนอวี๋หวั่นไปที่เรือนชีสยาย่วน
เพราะต้องประลองศาสตร์กู่และเวทมนตร์คาถา กลุ่มของอาเว่ยย่อมต้องมาต่อแถวเรียงเป็นลำดับ แต่สิ่งที่น่าเอ่ยถึงคือ บัดนี้อวี๋หวั่นก็ยังคงไม่รู้สถานะของอาเว่ย แต่ศาสตร์กู่ของอาเว่ยยอดเยี่ยมเป็นที่ประจักษ์ อาม่า….อาม่าค่อนข้างมีความสามารถทุกด้าน ว่ากันว่าเขายังมีความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับคาถาอาคม
เรื่องสำคัญเช่นนี้ เหล่าขุนนางทั้งบู๊บุ๋นต่างก็มาดูการสู้รบ
ทางด้านป่าไผ่ หนานกงเยี่ยนและฮองเฮาก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ตัดสินใจมุ่งหน้าสู่แท่นพิธี
หลังจากหนานกงหลีรับรู้เรื่องความจริงเกี่ยวกับตัวเองก็ขังตัวเองอยู่ในห้อง ในขณะที่ฮองเอาคิดว่าเขาจะยังคงไม่เข้าใจเรื่องราวต่อไป ในที่สุดเขาก็โผล่หน้าออกมา
“หลีเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่? เจ้าซูบเซียวหมดแล้ว” ฮองเฮาเดินเข้าไปลูบแก้มเขา
หนานกงเยี่ยนเลือบมองเขาอย่างเฉยเมย “อย่าใช้สายตาราวกับว่าผู้ใดเป็นหนี้บุญคุณเจ้า รีบไปเก็บของ เตรียมตัวออกเดินทาง”
รถม้าด้านนอกเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง หนานกงหลีเลือกม้าเหงื่อโลหิตชั้นดีตัวหนึ่ง ในจังหวะที่หนานกงหลีพลิกตัวขึ้นม้า ไป๋เชียนหลีก็เดินเข้ามา
ไป๋เชียนหลีจ้องมองเขาอย่างเลื่อนลอย “หลีเอ๋อร์เจ้า…ระวังด้วย”
“ไม่ต้องยุ่ง!” หนานกงหลีไม่แม้แต่จะมองเขาตรงๆ ดึงบังเหียน มุ่งหน้าออกจากป่า
เยี่ยนอ๋องจูงมือต้าเป่าเดินออกมา
ต้าเป่าเงยหน้ากะพริบตามองเยี่ยนอ๋อง
เยี่ยนอ๋องลูบหัวน้อยๆ ของต้าเป่าอย่างเอ็นดู “ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่”
ต้าเป่าพยักหน้า
เยี่ยนอ๋องพาต้าเป่าขึ้นรถม้า
หนานกงเยี่ยนอำลาฮองเฮา
ฮองเฮาไม่อาจวางใจ จึงถามนางว่า “เยี่ยนเอ๋อร์ ไม่ให้แม่ไปกับเจ้าจริงๆ หรือ?”
หนานกงเยี่ยนกล่าว “ไม่ต้อง ท่านแม่รอฟังข่าวจากข้า ไม่นานจะมีคนพาท่านแม่ย้ายไปที่ที่ปลอดภัย”
ฮองเฮากล่าวอย่างกังวล “ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ?”
หนานกงเยี่ยนกล่าว “พวกเราไปแล้ว ที่นี่จะไม่ปลอดภัย”
ไร้การคุ้มกันจากซิวหลัว ป่าแห่งนี้ก็จะสูญเสียอุปสรรคสิ่งกีดขวางที่มีกำลังที่สุดไป
ยามนี้ฮองเฮาต้องฝากความหวังไว้ที่หนานกงเยี่ยน หนานกงเยี่ยนว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ฮองเฮาใช้สายตามองส่งหนานกงเยี่ยนขึ้นรถม้าคันที่เยี่ยนอ๋องนั่งอยู่ กระทั่งรถม้าเคลื่อนลับสายตา นางจึงทอดถอนใจกลับเข้าห้อง
รถม้าแกว่งไกวมุ่งหน้าสู่แท่นพิธี เยี่ยนอ๋องกับหนานกงเยี่ยนนั่งคนละฝั่ง ต้าเป่านอนขดตัวกลมอยู่ในอ้อมแขนเยี่ยนอ๋อง ชะเง้อมองนอกหน้าต่างเป็นครั้งคราว
“อยากดูหรือ?” เยี่ยนอ๋องเปิดม่าน
ต้าเป่าเบิกตากว้าง มองทิวทัศน์ข้างทางด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หนานกงเยี่ยนนึกถึงเด็กคนนี้ยามเดินทางมากับนาง นั่งนิ่งสุขุมราวกับหิน ยามนี้อยู่ข้างกายเยี่ยนอ๋องค่อยดูเหมือนเด็กอายุสามขวบ
ไม่รู้ว่าต้าเป่าเห็นอะไร เขาหัวเราะคิกๆ ออกมา
เยี่ยนอ๋องก็ยิ้มเช่นกัน
นั่นคือรอยยิ้มที่หนานกงเยี่ยนไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เหมือนกับรอยยิ้มที่แสร้งทำให้นางใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มก้มหน้านั้น ทำให้ฤดูหนาวอันโหดร้ายสลายหายไปสิ้น
หากบุตรของเขาได้เกิดมาอย่างปลอดภัย เขาก็คงรักใคร่แบบนี้เช่นเดียวกันใช่หรือไม่?
หนานกงเยี่ยนลูบหน้าท้องราบเรียบของตนเอง ความเจ็บปวดทำให้หัวใจของนางบุบสลายป่นปี้ นางเบือนหน้าหนีด้วยความเคียดแค้น ไม่มองเยี่ยนอ๋องกับเด็กคนนี้อีก!
“ต้าเป่าหิวหรือไม่?” เยี่ยนอ๋องเปิดกล่องข้าว หยิบขนมเกาลัดให้ต้าเป่า
ต้าเป่ากลับไม่ได้กินเอง ทว่ายื่นให้หนานกงเยี่ยน
หนานกงเยี่ยนผงะ จากนั้นก็เมินหน้าหนีอย่างเฉยเมย “ข้าไม่กิน”
ต้าเป่ายังคงยื่นให้นางอยู่เช่นนั้นไม่ขยับ
ในที่สุดหนานกงเยี่ยนก็รับขนมไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แล้วต้าเป่าก็หยิบอีกชิ้นให้เยี่ยนอ๋อง จากนั้นเขาจึงกินอย่างเอร็ดอร่อย
หนานกงเยี่ยนสังเกตเห็นว่าชิ้นของนางกับเยี่ยนอ๋องเป็นชิ้นใหญ่ แต่ของเขาเองกลับเป็นชิ้นเล็ก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]