ในโลกนี้มีปรมาจารย์พิษเทพอยู่จริงๆ หรือ?
หากไม่เห็นด้วยตาตนเอง ผู้อาวุโสแห่งวิหารพิษผู้นี้ไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาด
ไสยศาสตร์แรกถือกำเนิดมิได้แบ่งแยกลัทธิ พ่อมดในยามนั้นก็คือปรมาจารย์พิษ ปรมาจารย์พิษก็เรียกว่าพ่อมด แต่ด้วยการฝึกฝนวิชาที่ยากขึ้น ศิษย์บางคนก็เริ่มเชี่ยวชาญในทักษะใดทักษะหนึ่ง
กล่าวได้ว่าในยุครุ่งเรืองยังคงมีปรมาจารย์พิษเทพอยู่ไม่น้อย แต่พ่อมดทั้งสองฝ่ายฆ่าฟันกันเองเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่งในใต้หล้า ศิษย์ที่เก่งกาจได้ลาจากโลกนี้ไปไม่น้อย การถ่ายทอดวิชาก็ขาดตอนตามไปด้วย
จนถึงบัดนี้ กระทั่งปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งร้อยปีก็ยังไม่พบ ปรมาจารย์พิษอาวุโสเก้าจั้ง สิบจั้งยิ่งมีอยู่แค่ในตำนานที่เล่าลือ ปรมาจารย์พิษเทพ? เป็นคนที่แม้แต่ในฝันก็ยังไม่คาดคิดว่าจะมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าพวกเขาจริงๆ
บรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโสต่างเบิกตาค้าง
ประชาชนที่ล้อมรอบแท่นบูชาได้ยินคำว่าปรมาจารย์พิษเทพของปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งต่างก็ตกตะลึงไม่อยากเชื่อ
บุรุษผู้นี้ดูแล้วก็ยังไม่แก่ ไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ อ่อนวัยเช่นนี้ก็เป็นถึงปรมาจารย์พิษเทพแล้วหรือ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าปรมาจารย์พิษอาวุโสจะเข้าใจอะไรผิด?
ปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งก็หวังให้ตนเองเข้าใจผิด เขาเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสผู้ตื้นเขินที่สุดที่มีคุณสมบัติที่สุดของวิหารพิษ ในด้านความสามารถไม่อาจเทียบเท่าปรมาจารย์พิษอาวุโสรุ่นก่อนๆ ทว่ามองจากสายตาที่ตะลึงงันของพวกเขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้เข้าใจผิด อีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์พิษเทพอย่างแน่นอน
ลำบากแล้ว
หลังจากหนานกงเยี่ยนใส่ร้ายว่าวิหารพิษกับสกุลเห้อเหลียนรวมมือกันให้ร้ายนาง วิหารพิษก็แตกหักกับหนานกงเยี่ยนอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่หวังให้หนานกงเยี่ยนได้รับชัยชนะ
บรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโสมองหน้ากันไปมาครู่หนึ่ง ก็บังเกิดความกังวลต่อตี้จีองค์โตพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
มิน่าละ หนานกงเยี่ยนถึงได้กล้านัดหมายสามวันหลังจากนั้น แม้กระทั่งปรมาจารย์พิษเทพก็ยังเชิญมาได้ นางเตรียมการมาเป็นอย่างดี เกรงว่าตี้จีองค์โต…จะพบกับโชคร้ายไม่น้อยแล้ว
“เหตุใดถึงมีปรมาจารย์พิษเทพได้ละ?” อวี๋เซ่าชิงบ่นพึมพำ
ยามอยู่ในต้าโจว เขาไม่ค่อยเข้าใจในศาสตร์กู่นัก หลังจากมาที่หนานจ้าวจึงค่อยๆ ได้ยินผู้คนกล่าวถึง จากความเข้าใจปรมาจารย์พิษเทพคือปรมาจารย์พิษที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้ายามนี้ กระทั่งปรมาจารย์พิษอาวุโสตัวน้อยทั้งสามยามอยู่ต่อหน้าเขายังไม่อาจเทียบเคียง เช่นนั้น อาเว่ยจะยังสามารถเอาชนะได้อยู่จริงๆ หรือ?
อวี๋เซ่าชิงมองไปทางอาเว่ยด้วยความกังวล
เมื่อเริ่มประกาศการประลองในรอบแรก อาเว่ยก็เดินขึ้นไปบนแท่นพิธีกับอาม่าแล้ว
บัดนี้เขายืนอยู่ข้างกายอวี๋หวั่น จ้องมองคู่ต่อสู้ของตนเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย อีกฝ่ายสังเกตสายตาของอาเว่ย เขาจึงมองมาที่อาเว่ยอย่างใจกว้าง ในรอยยิ้มเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“อาเว่ย…” อวี๋หวั่นอ้าปาก
อาเว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด เดินไปกลางแท่นพิธีอย่างเฉยเมย มองบุรุษหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกับชิงเหยียนและพูดว่า “ชื่อแซ่ใด? แจ้งชื่อมา ข้าไม่ตีคนไร้นาม”
ปรมาจารย์พิษเทพเหยียดยิ้มมุกปากอย่างยโสโอหังยิ่ง “ข้านึกว่าคู่ต่อสู้ของข้าจะเก่งกาจสักเพียงใด ที่แท้กลับเป็นแค่เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง ข้าได้ยินว่าเจ้ามีลูกศิษย์ปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งสามคน ปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้ง….เหอะ”
ปรมาจารย์พิษเทพเอ่ยพลางปัดแขนเสื้อกว้างของตนเอง “นั่นเป็นของเล่นเหลือทิ้งของข้า”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมาจากปาก ทุกคนต่างหายใจเฮือกด้วยความตกใจไม่ได้
ปากดียิ่งนัก! สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์พิษเทพ!
อาเว่ยกล่าว “วาจาเหลวไหลพูดให้น้อย มีชื่อก็บอกชื่อ ไม่มีชื่อก็หุบปาก”
ปรมาจารย์พิษเทพหัวเราะหึๆ “เด็กน้อย เจ้าฟังให้ดี ตัวข้านั่งไม่เปลี่ยนชื่อ ยืนไม่เปลี่ยนแซ่ เฟิงสือ! เฟิงของคำว่าคลื่นลมโหมซัดสาด สือของคำว่ากร่อนกระดูกเผาดวงใจ”
อาเว่ยขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่ก็คิดไม่ออกว่า ‘เป็น’ ตัวใด เขารู้อักษรไม่มากนัก
ปรมาจารย์พิษเทพกลับไม่มีมารยาทเข้าไปถามชื่อของอาเว่ย อย่างไรเสียในสายตาของเขา อีกฝ่ายก็เป็นเพียงปรมาจารย์พิษที่มีความรู้งูๆ ปลาๆ คนหนึ่งเท่านั้น อีกไม่นานก็จะตกเป็นรองและพ่ายแพ้แก่เขา แล้วเหตุใดเขาต้องจดจำชื่อของอีกฝ่ายด้วยละ?
การประลองศาสตร์กู่มีเพียงรอบเดียว เวลาจำกัดหนึ่งก้านธูป ผู้ใดสามารถปล่อยกู่ใส่อีกฝ่ายได้สำเร็จภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ผู้นั้นถือว่าชนะ เพราะเป็นด่านแห่งความเป็นความตาย ดังนั้นจะเป็นหรือตายก็ต้องรับผิดชอบตนเอง
ฟังดูง่าย แต่สำหรับปรมาจารย์พิษ คิดจะทำให้พวกเขาถูกกู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายดายมาแต่ไหนแต่ไร
ปรมาจารย์พิษเทพยิ้มอย่างเหยียดหยาม “เด็กน้อย ข้ารู้ว่าในมือพวกเจ้ามีราชันสัตว์พิษและราชินีสัตว์พิษ หากแน่จริงก็เข้ามาเลย ชนะพวกเจ้าแล้ว ราชันสัตว์พิษและราชินีสัตว์พิษก็เป็นของข้า”
หากประโยคที่ว่า ‘ปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งเป็นของเล่นที่เหลือทิ้งของข้า’ นั้นหยิ่งผยองมากพอแล้ว เช่นนั้นประโยคนี้ก็คงไม่เห็นใครในสายตาแล้ว เขาไม่เพียงแต่ต้องการเอาชนะตี้จีองค์โต ยังคิดจะแย่งของขององค์หญิงหวั่นไปอีก นี่ไม่เหลือหนทางให้สองแม่ลูกได้มีชีวิตต่อไปเลย
หากไม่มีของศักดิ์สิทธิ์ ตี้จีองค์โตกับองค์หญิงหวั่นจะเอาสิ่งใดมายึดเหนื่ยวหัวใจประชาชน
ดวงตาของอวี๋เซ่าชิงส่องประกายเย็นชา “บัดซบ! มันจะแย่งของของอาหวั่น!”
ไม่แปลกใจที่หนานกงเยี่ยนสามารถเชิญปรมาจารย์พิษเทพมาได้ ที่แท้ก็ต้องการให้อีกฝ่ายสัญญาว่าจะมอบของศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขา สิ่งยั่วยวนถึงเพียงนี้ มิน่าปรมาจารย์พิษเทพถึงได้หวั่นไหว
อวี๋หวั่นกระซิบกับชายชรา “อาม่า ปรมาจารย์พิษเทพอะไรนี่…เก่งกาจถึงเพียงนั้นจริงหรือ? ของศักดิ์สิทธิ์ที่เลือกเจ้าของแล้วยังถูกแย่งไปได้ด้วยหรือ?”
ชายชราพยักหน้า “ได้”
“ไม่เอา!” อวี๋หวั่นกุมหัวใจ
เธอไม่อยากส่งกู่กู่น้อยของเธอไป!
ชายชรากล่าว “กุมไว้ก็ไร้ประโยชน์ ราชันสัตว์พิษของเจ้าในยามนี้เล็กเกินไป อ่อนเกินไป ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปรมาจารย์พิษเทพ”
มันเป็นเพียงราชันสัตว์พิษวัยเยาว์เท่านั้น ยังไม่ถึงยุครุ่งเรืองของตน แม้จะมีความก้าวหน้าอย่างมากในมือของอวี๋หวั่น แต่หากจะต่อกรกับปรมาจารย์พิษเทพ ยังอีกห่างไกลนัก
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมปรมาจารย์พิษเทพถึงเต็มใจออกจากเขาไปล่ามัน รอให้มันโตขึ้น ปรมาจารย์พิษเทพสิบคนก็ยังสู้ไม่ได้ ทว่ายามนี้ มันสู้ปรมาจารย์พิษเทพไม่ได้
ไม่รู้ว่าเพราะได้ยินบทสนทนาระหว่างอวี๋หวั่นกับอาม่าหรือไม่ ปรมาจารย์พิษเทพมองมาทางอวี๋หวั่น ดวงตาที่ชั่วร้ายนั้นไม่เหมือนกับมองสตรีคนหนึ่ง แต่เป็นเหยื่อตัวหนึ่งเสียมากกว่า
แน่นอน ราชันสัตว์พิษของอวี๋หวั่นที่เป็นเหยื่อของเขา
อวี๋หวั่นก่นด่าหนานกงเยี่ยนเจ็ดสิบแปดสิบครั้งในใจ เพื่อความเห็นแก่ตัวของตน ยังไม่เสียดายที่จะนำของศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าวไปให้ปรมาจารย์พิษเทพ นี่แตกต่างอย่างไรกับการทรยศแว่นแคว้น?
ปรมาจารย์พิษเทพยกยิ้มมุมปาก หยิบขวดหยกเล็กๆ ออกจากอ้อมแขนของตน ดึงจุกขวดออกเบาๆ กลิ่นที่คล้ายมีกลับไม่มีฟุ้งกระจายไปทั่วแท่นบูชา
ปรมาจารย์พิษอาวุโสซุนสีหน้าแปรเปลี่ยน “กู่ไหมฟ้า!”
ในฐานะปรมาจารย์พิษอาวุโสที่มีประสบการณ์ที่สุดของวิหารพิษ การรับรู้ต่อหนอนกู่ของปรมาจารย์พิษอาวุโสซุนแตกต่างจากคนทั่วไป เกือบในทันทีที่ฝาขวดถูกเปิดออก เขาก็สัมผัสถึงลมปราณอันรุนแรงและทรงพลัง
“กู่ไหมฟ้าคืออะไร?”อวี๋หวั่นถามอย่างไม่เข้าใจ
อาม่าตอบ “ราชันพันสัตว์พิษที่เทียบเทียมราชินีสัตว์พิษ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]