การประลองรอบสองคือศาสตร์เวทมนตร์
ศาสตร์เวทมนตร์แบ่งเป็นสายขาวและสายดำ อย่างแรกใช้เพื่อช่วยชีวิต อย่างหลังใช้เพื่อสังหาร ในมุมมองของอวี๋หวั่น สตรีหัวใจงูพิษเช่นหนานกงเยี่ยนไม่มีทางแข่งด้วยสายขาว ผลเป็นดังคาด ไม่รู้หนานกงเยี่ยนเจรจาสิ่งใดกับอวี้สื่อต้าฟู อวี้สื่อต้าฟูมีแววตาลำบากใจ
ช่วงระยะหนึ่ง อวี้สื่อต้าฟู ไท่เว่ยและไท่ซือปรึกษาหารือกัน จากนั้นก็เดินเข้ามาถามตี้จีองค์โตกับอวี๋หวั่นว่าจะยอมรับการประลองศาสตร์มืดหรือไม่
อวี๋หวั่นหันไปมองอาม่า อาม่าพยักหน้าให้เธอ อวี๋หวั่นกล่าว “ยอมรับ!”
อวี้สื่อต้าฟูกล่าว “เพราะศาสตร์มนต์ดำนั้นมีความรุนแรง พ่อมดของทั้งสองฝ่ายจึงต้องมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ มิฉะนั้นจะถือว่าตกรอบ”
“ได้” อวี๋หวั่นพยักหน้า
หนานกงเยี่ยนก็พยักหน้ายอมรับ
อวี้สื่อต้าฟูกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เช่นนั้นต่อไป ตี้จีทั้งสองโปรดส่งพ่อมดของตนเองออกมา”
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนคือ พ่อมดที่หนานกงเยี่ยนส่งออกไปก็คือราชครู
ราชครูต่อสู้เพื่อหนานกงเยี่ยนอย่างเปิดเผย ซึ่งเป็นการยอมรับโดยปริยายว่าสำนักราชครูสมรู้ร่วมคิดกับฮองเฮา
อวี๋เซ่าชิงหรี่ตา “ช่างกล้านัก เขาไม่กลัวที่จะทำให้ฮองเฮามีโทษฐาน”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยอย่างเฉยเมย “บางทีพวกเขาอาจจะไม่สนใจแล้ว”
อวี๋เซ่าชิงขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงชะงัก “เจ้าสนใจน้องสะใภ้กับอาหวั่นไว้ให้ดี หากเกิดอันใดขึ้น ให้รีบพาพวกนางหนีไปทันที”
อวี๋เซ่าชิงกล่าว “ว่าอย่างไรนะ? เจ้ายังคงกังวลว่าตี้จีองค์เล็กจะเปิดฉากสังหารหรือ?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “สตรีผู้นั้นเสียสติไปแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าหากนางพ่ายแพ้นางจะทำสิ่งใด”
หากหนานกงเยี่ยนแพ้ก็จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หนานกงเยี่ยนไม่เคยคิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้
ในด่านแรกพวกเขาใช้กลอุบายหลบเลี่ยงไปได้ แต่ในด่านถัดไปจะไม่มีสิ่งใดนอกเหนือความคาดหมายมากเช่นนั้นแล้ว
“อะไรกัน? ท่านพี่กลัวหรือ?” หนานกงเยี่ยนประชดประชัน
“ตี้จีองค์โต?” อวี้สื่อต้าฟูรีบหันมองกลุ่มนางเจียง
เยว่โกวผู้ทรงพลังราวกับวัว ก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเยือกเย็น
คิ้วของหนานกงเยี่ยนกระโดดขึ้น พลันบีบที่เท้าแขนของเก้าอี้นวมแน่น “ช้าก่อน!”
อวี้สื่อต้าฟูหันมองนาง “มีอันใดหรือตี้จีองค์เล็ก?”
หนานกงเยี่ยนมองเยว่โกวที่สามารถต่อยราชครูให้บินได้ และพูดอย่างเย็นชา “ในรอบนี้ ห้ามใช้วรยุทธ์ต่อสู้”
พ่อมดกับราชครูก็เหมือนกัน ต่างก็ไม่ได้เป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นศิลปะการต่อสู้จึงไม่ได้เป็นข้อห้ามในการประลองใหญ่ก่อนหน้านี้ แต่ในเมื่อตี้จีองค์เล็กเอ่ยปากแล้ว อีกทั้งยังมีบทเรียนจากอดีต สามมหาเสนาบดีสูงสุดจึงไม่อาจปฏิเสธคำขอของตี้จีองค์เล็ก
อวี้สื่อต้าฟูกล่าวด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ได้ ในรอบนี้นอกจากเวทมนตร์ ไม่อนุญาตให้ใช้อย่างอื่นอีก”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เยว่โกวก็ยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาวเต็มปาก!
ด้านหลังของเขา เห็นชายชราร่างผอมบางคนหนึ่งที่อาจถูกลมพัดจนปลิวเดินออกมาอย่างเชื่องช้า
ด้วยร่างกายที่แก่หง่อมเช่นนี้ ราชครูที่อยู่ในช่วงขีดสุดของชีวิตสามารถใช้มือเปล่าทุบเขาจนร้องไห้ได้!
หนานกงเยี่ยนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ!
เจ้าพวกนี้เป็นคนประเภทใดกัน เหตุใดเจ้าเล่ห์เพทุบายถึงเพียงนี้! ! !
ไม่ใช่ว่าหนานกงเยี่ยนไม่เชื่อในความสามารถของราชครู แต่หากมีวิธีที่ง่ายกว่า นางก็จะไม่เลือกหนทางที่เสี่ยงกว่า
แต่จะพูดสิ่งใดในยามนี้ก็สายไปแล้ว เป็นนางที่ขอให้เพิ่มกฎข้อนี้ อย่างไรนางก็ไม่อาจกลับคำ
หนานกงเยี่ยนส่งสายตาให้ราชครู
ราชครูเข้าใจความหมาย
หมายความของหนานกงเยี่ยนคือ ให้จัดการอย่าได้ปรานี
แท้จริงแล้วราชครูไม่เคยคิดเมตตาต่อคนเหล่านี้ โดยเฉพาะนักบวชแห่งเผ่าปีศาจผู้นี้ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนสนิทของท่านอาจารย์ในยามที่เขามีชีวิตอยู่ แม้ท่านอาจารย์จะเอาชนะเขาได้ แต่ก็ไม่ใช่ชัยชนะที่ใสสะอาด เป็นความเสียใจที่ติดอยู่ในใจของท่านอาจารย์ตลอดมา
เขาเชื่อว่าในวันนี้ ความเสียใจนั้นจะไม่มีอยู่อีกต่อไป
อาม่าเดินไปกลางแท่นบูชาและหยุดยืนอยู่ห่างจากราชครูสามก้าว ดวงยายับย่นส่องประกายทรงพลังและแหลมคม
“อวี่เหวินจ้าวเป็นอาจารย์ของเจ้าสินะ?” อาม่าถาม
“ใช่ เป็นท่านอาจารย์ของข้า”
อาม่าพยักหน้า “พอดีเลย เขาติดค้างข้าในตอนนั้นและวันนี้เป็นเจ้าที่มาจ่ายคืน”
ราชครูเหยียดหยาม “อย่าพูดจามั่นใจนักเลย ยังไม่แน่ว่าผู้ใดชนะผู้ใดแพ้”
“เจ้าประเมินตนเองแล้วไม่รู้ดีแก่ใจรึ? อาจารย์ของเจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย ดังนั้นเจ้าก็ไม่ต้องพูดถึงแล้วละ” อาม่าที่มีนิสัยพูดน้อย วันนี้นับว่าได้เอ่ยคำพูดทั้งหมดในหนึ่งปีออกมา “เอาละ เริ่มได้แล้ว”
อาม่ากำลังจะเข้าไปนั่ง แต่ราชครูกลับเดินมาด้านหน้าสองสามก้าวแล้วพูดข้างหูว่า “ท่านนักบวช อย่าลืมจุดประสงค์เดิมที่พวกเจ้าเดินทางออกจากเผ่าปีศาจ ราชาแห่งเผ่าปีศาจสั่งให้พวกเจ้าพาตี้จีองค์โตกลับไป มิใช่ช่วยให้นางขึ้นครองบัลลังก์”
สีหน้าของอาม่าชะงักงัน
ราชครูเอ่ยประชดประชัน “เจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะปกปิดไว้ได้นานเพียงใด?”
อาม่ามองเขาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน
สายตาของราชครูสื่อให้เขามองไปทางซ้ายมือ ด้านล่างของแท่นบูชา
อาม่ามองไปอย่างแนบเนียน
ปะทะกับสายตาแห่งความตายคู่หนึ่ง
เจ้าของดวงตานั้นซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีดำ
นี่คือทูตแห่งเผ่าปีศาจ
เช่นเดียวกับศาตร์เวทมนตร์ ทูตของเผ่าปีศาจก็แบ่งเป็นสายขาวและสายดำ ผู้ที่ถูกส่งออกไปทำภารกิจด้านนอกคือทูตขาว อย่างอาม่าและอาเว่ย แต่หากทูตขาวบกพร่อง เผ่าปีศาจก็จะส่งทูตดำออกไปเพื่อกำจัดทูตขาว
ทูตดำปรากฏตัวก็หมายความว่าการกระทำของพวกเขาถูกราชารับรู้แล้ว
แท้จริงแล้วนับตั้งแต่หนานกงหลีจดจำตัวตนของอาม่าได้ อาม่าก็เดาว่าอาจเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่หนานกงหลีขโมยตัวซิวหลัวมา อาม่าไม่คิดว่าเขาจะกล้าวิ่งไปเผ่าปีศาจเพื่อบอกความจริง
ดูแล้วหนานกงหลีมิได้มีความกล้า ทว่าราชครูกลับมี
สิ่งที่เรียกว่าการภาวนาปฏิบัติเป็นเพียงฉากบังหน้า แท้จริงแล้วแอบไปทำเรื่องเลวร้ายไม่น้อย
ราชครูมองไปข้างหลังอาม่า เห็นได้ชัดว่ายังคงจมอยู่กับความสุขของชัยชนะในการประลองด่านแรก พวกอาเว่ยสามคนที่ยังไม่เห็นพวกทูตดำก็เอ่ยเตือนอย่างดีอกดีใจ “จะหนีตอนนี้ก็ยังทันนะ”
หากหนีไป การประลองด่านนี้ก็จะพ่ายแพ้
ไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆ ปรากฎบนใบหน้าที่ผ่านชีวิตอันโชกโชนของอาม่า และทันใดนั้นเสื้อคลุมของเขาก็พัดไหว กระดาษแผ่นหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อของเขา
ราชครูหันหัวหลบ แต่ยังคงปล่อยให้กระดาษตัดผ่านผ้าบนบ่าของตน
“นี่คือคำตอบของข้า”
กล่าวจบ อาม่าก็ไม่สนใจคำพูดยั่วยุของราชครู เดินไปนั่งบนเสื่อของตนเอง เบื้องหน้าของเขามีโต๊ะเล็กตั้งอยู่ บนโต๊ะนั้นมีสิ่งของแปลกประหลาดวางเรียงอยู่จำนวนหนึ่ง
มนต์ดำที่ทรงพลังที่สุดคือการเชิดหุ่น เมื่อได้รับการฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่ง กระทั่งคนที่มีชีวิตก็สามารถควบคุมได้ แต่วิธีการนั้นไร้มนุษยธรรมเกินไป จึงถูกเหล่าพ่อมดห้ามไปแล้ว
วันนี้ ทั้งสองเลือกแนวทางนี้เหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมาย
อาม่าสะบัดแขนเสื้อ ปัดสิ่งของบนโต๊ะลงกับพื้น จากนั้นก็หยิบกริชออกมาวางลงบนโต๊ะอย่างเบามือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]