หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 35

ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หากไม่ใช่เลือดมนุษย์…จะกล่าวให้ถูกคือหากไม่ใช่เลือดของยอดฝีมือก็ไม่กิน มันถูกบังคับให้กินเลือดไก่มาตลอดทั้งคืน เรียกได้ว่ากลายเป็นลูกปัดที่น่าเวทนายิ่งนัก

ทารกในครรภ์ส่วนใหญ่มักตื่นไม่นานนัก หลังจากไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของครรภ์ อวี๋หวั่นก็เบื่อหน่ายจะบูชายันต์แก่ไข่มุกที่รักการกินเลือดเม็ดนี้อีกต่อไป

อวี๋หวั่นวางตะเกียบ หยิบลูกปัดเม็ดกลมขึ้นมา เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เจ้านี่ชอบสิ่งใดไม่ชอบ มาชอบกินเลือด แล้วยังเป็นเลือดไก่อีก”

ไข่มุกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ “…”

คืนพระจันทร์เต็มดวงมาถึงแล้ว วิชาอายุวัฒนะของเยี่ยนจิ่วเฉาสูญเสียพลังไปอีกครั้ง จากยอดฝีมือระดับสูงกลายเป็นคนธรรมดา แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุด เรื่องที่เลวร้ายที่สุดคือ วิชาอายุวัฒนะสูญเสียพลังก็ยังพอว่า แต่กลับยังทำให้วิชายุทธ์อื่นสูญเสียพลังไปด้วย!

ตั้งแต่เยี่ยนจิ่วเฉากลืนกินหลัวช่าวิญญาณเข้าไปก็ได้ครอบครองวิชายุทธ์ของยอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วน เดิมทีคิดว่าหากคืนพระจันทร์เต็มดวงมาถึงก็ช่างประไร อย่างไรเสียวิชาอายุวัฒนะสิ้นพลังก็ยังมีวิชายุทธ์อื่นเหลืออยู่

บัดนี้ถูกวิชาอายุวัฒนะดึงไปจนหายสิ้น

…..ต้องการวางอำนาจหรือ?

ยามจัดการกับหลัวช่าวิญญาณ เหตุใดไม่เห็นเจ้าอวดเบ่งเช่นนี้?

แต่ในอีกแง่หนึ่ง นี่ไม่ได้หมายความว่าวิชาอายุวัฒนะมีพลังเหนือกว่าวิชายุทธ์ทั้งหมดที่รวมอยู่ในศาสตร์ดูดวิญญาณหรอกหรือ? ไม่เช่นนั้นจะทำให้พวกมันสูญสลายไปพร้อมกับตัวมันได้อย่างไร?

สิ่งที่มันทำให้สลายไป ไม่ได้มีเพียงวิชายุทธ์หนึ่งวิชาเท่านั้น แต่มีมากถึงหลายสิบกระทั่งหลายร้อยวิชา!

และเวลานี้เองเยี่ยนจิ่วเฉาก็ตระหนักได้ว่า ระดับเก้านี้อาจยังไม่ใช่ขั้นที่สูงที่สุดของวิชาอายุวัฒนะ

หลังจากขึ้นสู่ระดับเก้าที่หมิงตู เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่ได้ให้เวลาฝึกฝนวิชาอายุวัฒนะมากนัก ยามนี้เขาคิดว่าหลังจากผ่านวันพิเศษของเขาไปแล้ว จำเป็นต้องกลับมาศึกษาวิชาอายุวัฒนะอีกครั้ง

“คุณชาย! แกงได้แล้วเจ้าค่ะ!” นอกประตู สาวใช้คนหนึ่งรายงานพร้อมกับถือชามแกงน้ำตาลทรายแดงเข้ามา

เยี่ยนจิ่วเฉามองแกงน้ำตาลทรายแดงตรงหน้า เรียวคิ้วหล่อเหลาพลันขมวดมุ่น

ระยะนี้แกงน้ำตาลกำลังเป็นที่นิยมในจวนหรือ? เหตุใดวันหนึ่งส่งมาที่ห้องเขาสามเวลา? !

ในท้ายที่สุด เยี่ยนจิ่วเฉาก็ยังดื่มแกงน้ำตาลทรายแดงร้อนๆ

หลังจากดื่มเสร็จ สาวใช้ก็มองเขาด้วยสายตาคาดหวัง “คุณชาย อุ่นหรือไม่เจ้าคะ?”

“อันใดอุ่นหรือไม่?” เยี่ยนจิ่วเฉาถาม

“ท้องไงเจ้าคะ ท้องอุ่นหรือไม่?” สาวใช้มองท้องของเขาพลางถาม

ดื่มของร้อน ท้องก็ต้องอุ่นอยู่แล้ว คำถามไร้สาระอะไร? เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียงอืมอย่างเฉยเมย

สาวใช้ยกมือป้องปากยิ้ม!

นางคิดไว้อยู่แล้ว แกงน้ำตาลทรายแดงอุ่นสบายท้องที่สุด!

สาวใช้ก็ออกไปแบกชามเปล่าด้วยรอยยิ้ม

เมื่อมองเงาของนางที่เดินจากไป เยี่ยนจิ่วเฉารู้สึกว่า จู่ๆ ตนก็อยากฆ่าคนขึ้นมานี่มันอะไรกัน?

แม้เยี่ยนจิ่วเฉาจะไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่เขาก็มีนิสัยที่ดีมากอย่างหนึ่ง ก่อนเข้านอนจะดูแลคนในครอบครัว เขาไปที่เรือนของเยี่ยนอ๋อง ให้เวลาบิดาบุตรกับเยี่ยนอ๋อง จากนั้นก็ไปดูเถี่ยตั้นน้อยกับไข่น้อยทั้งสาม รอจนกว่าเด็กๆ จะหลับ และจึงกลับไปที่ห้องของอวี๋หวั่น

อวี๋หวั่นเล่นลูกปัดจนเหนื่อยและผล็อยหลับไปบนเก้าอี้นวม

เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มเธอมาที่เตียง

แต่ทันทีที่ออกแรง เขาก็หยุดชะงัก

เขากัดฟัน “อวี๋อาหวั่น เจ้าควรลดน้ำหนักได้แล้ว!”

แม้สองสามวันนี้เยี่ยนจิ่วเฉาจะสูญเสียวิชายุทธ์ไป แต่ก็ไม่ได้มีผลใดๆ กับการไปป่วนขุนนางเหล่านั้น เพราะอย่างไร ว่าราชการก็ไม่ต้องต่อสู้ ใช่หรือไม่ล่ะ?

เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินมาว่าคนบ้าจะมาว่าราชการที่ท้องพระโรงอีกครั้งก็แทบอกจะแตก เยี่ยนจิ่วเฉาว่าราชการสองวันนี้ไม่มีเรื่องอื่นใด จึงให้คนเอ่ยชมเขาไม่ซ้ำกัน หากซ้ำกันคราใดก็จะเอ่ยกับคนผู้นั้นว่า ‘เจ้าเป็นถึงขุนนางใหญ่ ทว่าในท้องกลับไร้หมึก นี่เจ้าซื้อตำแหน่งเข้ามาใช่รึไม่?’”

เหล่าขุนนางร่ำไห้ ต่อให้ในท้องมีน้ำหมึกสักเพียงใด ทว่าขุนนางร้อยคน เอ่ยสรรเสริญคนละหนึ่งประโยค วนไปสามสิบห้าสิบรอบ ในท้องผู้ใดจะยังหลงเหลือน้ำหมึกอยู่อีกเล่า?

แล้วเยี่ยนจิ่วเฉายังมาถึงแต่เช้าตรู่ เช้ากว่าผู้ใด!

หากใครไม่รู้คงคิดว่าเขาเป็นราชาผู้ปราดเปรื่องจริงๆ แต่เขามาเช้าเช่นนี้ คงได้ยืนหน้าประตูวังฟังคนยกยอตนว่าหล่อจัง เท่จัง เจ๋งสุดๆ!

เหล่าขุนนางเห็นเกี้ยวหรูหราอลังการเหนือผู้ใด พร้อมกับเยี่ยนจิ่วเฉาที่นั่งตะแคงท่าทางโอหังอยู่ด้านบน ต่างโอดร้องคร่ำครวญในใจ

โอ้สวรรค์! ธรณีเอ๋ย! รีบเก็บวายร้ายนี่ไปทีเถิด! พวกเขารับไม่ไหวแล้วจริงๆ——

ทว่าครานี้เหล่าขุนนางเข้าใจผิด เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้มาเพื่อฟังพวกเขาชื่นชม แต่มาเพื่อจัดการกิจสำคัญ!

อวี๋หวั่นหลับใหลจนฟ้าสว่าง เมื่อลืมตาตื่นก็พบว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่อยู่แล้ว

เธอรู้ดีว่าเยี่ยนจิ่วเฉามีนิสัยที่ตื่นเช้า ไม่เคยมีวันไหนที่เห็นเยี่ยนจิ่วเฉาตื่นสายกว่าเธอเลยสักครั้ง แต่เมื่อก่อนถึงเขาจะตื่นเช้า ก็มักนั่งเงียบๆ อยู่ในห้อง แต่งเนื้อแต่งตัว อ่านหนังสือเด็กของไข่น้อยทั้งสาม อวี๋หวั่นเหลือบไปก็จะเห็นเขาอยู่

ความรู้สึกนั้นช่างแสนอบอุ่น

แต่ตอนนี้ เธอไม่เจอเยี่ยนจิ่วเฉามาสามวันแล้ว!

ชักจะคิดถึงซะแล้ว…

อีกอย่างเมื่อคืนเธอก็ผล็อยหลับไป ไม่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉากลับมาเมื่อไร หากไม่ใช่เพราะเธอถูกพาจากเก้าอี้นวมมาที่เตียงก็คงคิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้กลับบ้าน

ไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอคงรู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นภรรยาที่ไร้ชีวิตคู่

คืนนี้เธอจะอดทนรอจนกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะกลับมา!

สิ่งที่อวี๋หวั่นไม่รู้ก็คือ แม้เธอมักจะผล็อยหลับไป แต่ในทุกๆ คืน เธอก็ได้นอนหลับฝันอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน

หลังอาหารเช้า มีคนมาจากจวน เชิญอวี๋หวั่นเข้าวัง

อวี๋หวั่นกลับมาที่เมืองหลวงได้สองสามวันแล้ว ตามหลักควรไปถวายพระพรฮ่องเต้และฮองเฮา แต่ท้องใหญ่ๆ ของเธอทำให้เดินทางไม่สะดวกนัก อีกทั้งฮ่องเต้ก็มักประชวรอยู่บนแท่นบรรทม ฮองเฮาก็คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง จึงเลี่ยงการคำนับจากอวี๋หวั่นอย่างเงียบๆ

แต่วันนี้กลับมีคนจากวังหลวงมา?

“ใช่ขันทีวังที่ติดตามฝ่าบาทหรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม

ผิงเอ๋อร์ไม่รู้จักคนที่ต้าโจว จึงหันไปส่งสายตาให้เถาเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ

หลีเอ๋อร์เอ่ย “ฟังจากผู้ดูแลวั่นกล่าว มิใช่ขันทีวัง แต่เป็นขันทีขันทีฉินที่ติดตามฮองเฮาเจ้าค่ะ”

ฮองเฮาต้องการพบเธอ?

ก็จริง ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องพบกัน จวนคุณชายกับฮองเฮาเดิมเป็นฝ่ายเดียวกัน ตราบใดที่ฮองเฮาหาเจียดเวลามาได้ เธอก็ต้องไปคำนับต่อหน้าหญิงชราผู้นั้นอย่างยากจะเลี่ยง

“ท่านพ่อว่าอย่างไรบ้าง?” อวี๋หวั่นถามต่อ

เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เยี่ยนอ๋องจะไม่รู้ ท่าทีของเยี่ยนอ๋องสำคัญมาก หากเขาคัดค้านการร่วมมือของตนกับวังหลัง เช่นนั้นอวี๋หวั่นก็จะไม่ไป

หลีเอ๋อร์เอ่ย “ท่านอ๋องกล่าวว่า ร่างกายของท่านสำคัญที่สุด หากร่างกายทรุด ไม่ไปก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”

นี่ก็หมายความว่าเขาไม่ได้คัดค้านการติดต่อระหว่างเธอกับฮองเฮา อวี๋หวั่นรู้ว่าเยี่ยนอ๋องรักและเอ็นดูตน ทว่าอย่างไรยามนี้เธอก็เป็นสตรีบรรดาศักดิ์แห่งราชวงศ์แล้ว…การเข้าสังคมที่ควรมีก็ไม่อาจละเว้น

ส่วนร่างกายของเธอก็ไม่ได้มีปัญหาใด

อวี๋หวั่นพยักหน้า “นำชุดมงคลมา ข้าจะไปเข้าเฝ้าฮองเฮา”

คำพูดเดิมของขันทีฉินคือ “ฮองเฮาไม่พบพระชายากับบุตรของนางมานานแล้ว พระทัยทรงคะนึงหายิ่ง”

นี่ก็หมายความว่าไข่น้อยทั้งสามต้องเข้าวังไปพร้อมกับเธอด้วย

ตั้งแต่เถี่ยตั้นน้อยมาอยู่ที่จวน ทั้งสี่ก็กินนอนด้วยกัน หากพาพวกเขาไปหมดแล้วทิ้งเถี่ยตั้นน้อยไว้ คงจะรู้สึกเหงาน่าดู

จวนคุณชายเป็นบ้านของเถี่ยตั้นน้อย เธอไม่อยากให้เถี่ยตั้นน้อยรู้สึกว่าตนเป็นคนนอก และยิ่งไม่อยากให้เขารู้สึกเหมือนอาศัยอยู่ใต้ชายคาคนอื่น เธอจึงบอกให้เถี่ยตั้นน้อยเตรียมตัวเดินทางเข้าวังพร้อมกัน

เธอไม่ได้กังวลว่าการเดินทางไปพร้อมกับเด็กๆ จะทำให้ฮองเฮาหรือคนในวังเลือกที่รักมักที่ชัง เถี่ยตั้นน้อยในเวลานี้ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าองค์ชายประเทศใด เขาเป็นบุตรตี้จีแห่งหนานจ้าว มีเลือดจวนแม่ทัพเทพและราชวงศ์หนานจ้าวไหลเวียนอยู่ในกาย

“ไปกันเถอะ” อวี๋หวั่นจูงมือเถี่ยตั้นน้อยเข้าไปในรถม้า

ไข่น้อยทั้งสามเคยพบฮองเฮาแล้ว อวี๋หวั่นมั่นใจอย่างยิ่งว่าพวกเขายังจำฮองเฮาได้ แต่เถี่ยตั้นน้อยไม่เคยเข้าวัง อวี๋หวั่นจำต้องตักเตือนเขาให้มากสักหน่อย “…อีกเดี๋ยวเจ้าไม่ต้องประหม่า หากจะให้เจ้าเรียกผู้ใด ข้าจะบอกเจ้าเอง สองสามวันมานี้ได้เรียนรู้วิธีการคำนับจากมามาแล้วใช่หรือไม่?”

“เรียนแล้ว!” เถี่ยตั้นน้อยตอบ

ระหว่างคิ้วของเขามีความมั่นใจซึ่งจะแผ่ออกมาในยามมีอวี๋หวั่นอยู่ด้วยเท่านั้น ราวกับมีท่านพี่อยู่เคียงข้างเขา เขาก็ไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีกแล้ว!

อวี๋หวั่นยิ้มอย่างมีความสุข “เถี่ยตั้นน้อยของเราเติบโตแล้ว รู้ประสีประสาแล้ว”

ถึงจะเติบโตขึ้นมาในชนบทแล้วอย่างไร? ในกระดูกก็มีสายเลือดอันสูงส่งไหลเวียน ย่อมมีสักวันที่ราชสีห์น้อยผู้หลับใหลจะตื่นขึ้น

อวี๋หวั่นรู้สึกว่าบนกายของเถี่ยตั้นน้อยมีรัศมีที่ทำให้เธอต้องมองเขาใหม่มากขึ้นทุกที

“ท่านแม่! ท่านน้า! เราถึงวังหลวงแล้ว!”

เสี่ยวเป่าเป็นคนแรกที่กระโดดลงจากรถม้า

ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าก็กระโดดตามลงไป

ทั้งสามวิ่งเตาะแตะเข้าไปด้านใน

องครักษ์เฝ้าประตูเมืองตะลึงตาค้างเมื่อเห็นไข่ดำน้อยทั้งสาม เด็กจากที่ใด? เหตุใดถึงได้บุกรุกวังหลวง?

ต้องรีบขวางไว้!

…บัดซบ! ขวางไม่ทัน!

นี่มันเด็กอันใดกันแน่ เหตุใดปราดเปรียวเร็วเช่นนี้? เพียงพริบตาก็ราวกับคนเล็ดลอดผ่านนิ้วมือของเขาไป!

“อ้า! พระชายา!” องครักษ์จำอวี๋หวั่นได้

องครักษ์ทำความเคารพอวี๋หวั่น เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินเขาเรียกพระชายา ต่างก็หันกลับมาคารวะด้วยความเคารพ

“ลุกขึ้นเถิด” อวี๋หวั่นกล่าว

“ขอบพระทัยพระชายา!” คนหลายคนเอ่ยพร้อมกัน

หลังจากนั้น องครักษ์ก็เห็นเด็กชายตัวเล็กๆ ที่อวี๋หวั่นจูงมือเดินมา เด็กอายุราวเจ็ดแปดขวบ คิ้วและดวงตาของเขาคล้ายคลึงกับพระชายาหนึ่งหรือสองส่วน ใบหน้าสลักเสลางดงาม ดวงตาเยือกเย็น ยืนสงบนิ่งเชื่อฟังอยู่ข้างกายพระชายา แววตาที่มองพระชายาดูน่ารักยิ่งนัก ทว่ายามมองที่พวกเขา แววตากลับไม่อ่อนโยนเช่นนั้น

แม้แต่อวี๋หวั่นก็ไม่ได้สังเกตว่าแววตาของเถี่ยตั้นน้อยเปลี่ยนไป เขาก็ไม่ใช่เด็กโง่ที่วิ่งไปมาในป่าเขาอีกแล้ว ความสงบนิ่งกลางหว่างคิ้วทำให้คนรู้สึกว่าเขาไม่เต็มใจให้ผู้ใดเข้าใกล้

เฉพาะยามอยู่ในหมู่บ้านเหลียนฮวาและอยู่ต่อหน้าครอบครัวของตนเท่านั้น ที่เถี่ยตั้นน้อยจะเป็นเถี่ยตั้นน้อยจริงๆ

เมื่อมาถึงวังหลวงที่แปลกประหลาดแล้ว เขาจะไม่ทำให้จวนเห้อเหลียน ท่านพี่และท่านพ่อท่านแม่ต้องอับอาย!

………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]