เรื่องการแยกทางระหว่างองค์ประมุขกับอวิ๋นเฟย ในไม่ช้าก็ไปถึงหูของอวี๋หวั่น อวี๋หวั่นประหลาดใจยิ่ง ไม่ใช่ว่าเธอคิดว่าการกระทำของอวิ๋นเฟยผิด แต่ในยุคสมัยนี้ สถานะของสตรีนั้นต่ำมาก อวิ๋นเฟยยังมีสำนึกอุดมการณ์เช่นนี้ได้ หากไปอยู่ในโลกก่อนของเธอ อวิ๋นเฟยก็นับว่าเป็นแนวหน้าแล้ว
“สมกับเป็นท่านยายของข้า!” อวี๋หวั่นยืดกาย
จากมุมมองของอวิ๋นเฟย อวี๋หวั่นสนับสนุนการตัดสินใจของนาง แต่ในทางกลับกัน เธอก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งกับการไล่ตามขององค์ประมุข
อายุปูนนี้เพิ่งจะรู้จักไล่ตามแฟน มัวไปทำสิ่งใดอยู่?
อวี๋หวั่นไม่สงสารเห็นใจองค์ประมุข หากเขาไม่มาหาเธอถึงประตูบ้าน เธอจะไม่ไปขอร้องแทนเขา
แน่นอนว่าองค์ประมุขส่งคนไปหาอวี๋หวั่นจริงๆ
ผู้ที่มาคือขันทีหวัง
ขันทีหวังปฏิเสธอยู่ในใจ ยามส่งต่อวาจาขององค์ประมุขก็มีสีหน้าเศร้าหมอง เมื่อกล่าวจบก็กลอกตาและพูดว่า “เอาละ ข้าผายลมเสร็จแล้ว!”
มุมปากของอวี๋หวั่นกระตุก ขันทีท่านนี้ องค์ประมุขรู้หรือไม่ว่าท่านทำเช่นนี้?
อวี๋หวั่นเส้นทางนี้ไม่อาจผ่านแล้ว นางเจียงแค่คิดเขาก็ไม่คิด ส่วนไข่ดำทั้งสาม องค์ประมุขไม่สับสนถึงขนาดใช้ประโยชน์จากเด็กๆ
สิ่งนี้ทำให้อวิ๋นเฟยโล่งใจอย่างเงียบๆ เพราะนางสามารถโหดร้ายกับใครก็ได้ แต่ไม่อาจทนทำร้ายกับเด็กๆ เหล่านั้น หากพวกเขามองนางด้วยใบหน้าเศร้าสลดและขอร้องไม่ให้นางแยกจากองค์ประมุข นางก็ไม่รู้ว่าตนเองยังสามารถยืนกรานต่อไปได้หรือไม่
เพราะติดค้างบุตรสาวมากเกินไป ต่อให้มีความสุขในวัยชรานางก็ยอมรับแล้ว
โชคดีที่บุรุษผู้นั้นไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดกระทั่งเหลนก็ยังใช้ประโยชน์ได้
องค์ประมุขเสด็จไปตำหนักจูเชวี่ยหลายครั้ง ท่าทีของอวิ๋นเฟยก็ยังคงมั่นคงยิ่งนัก แยกทาง ต้องการแยกทาง!
ความผิดพลาดที่ได้ก่อในวัยหนุ่ม บัดนี้ได้ลิ้มลองผลไม้รสขมแล้ว
พระทัยขององค์ประมุขรู้สึกขมขื่น
แต่องค์ประมุขไม่พูดออกมา
ปีใหม่กำลังใกล้เข้ามา ฤดูหนาวในหนานจ้าวไม่มีหิมะตกหนัก ช่วงปีใหม่ของเมืองหลวงไม่ได้มีบรรยากาศเยี่ยงเมืองจิงเฉิง แต่ก็เป็นวันรวมตัวของครอบครัวเช่นกัน ทุกบ้านต่างก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมตัว
อย่างไรอวี๋หวั่นก็เคยเป็นแม่ครัวมือหนึ่งในใต้หล้าคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้แห่งต้าโจว เธอต้องการช่วยเตรียมอาหารในปีนี้ แต่ทั้งครอบครัวกลับกีดกันเธอ! ! !
“อาหวั่นเจ้าลำบากถึงเพียงนี้ จะยังให้เจ้าทำอาหารอีกได้อย่างไร!”
นั่นเป็นอวี๋เซ่าชิง
“บุตรีของพวกเราสกุลเห้อเหลียนมีไว้ทะนุถนอม! มิใช่มีไว้ทำงาน!”
นี่คือเห้อเหลียนเป่ยหมิง
ในใจของทุกคน เหอะๆๆ แท้จริงแล้วพวกเจ้าก็แค่คิดว่าอาหารของอาหวั่นไม่อร่อย…
อวี๋หวั่นทอดถอนใจ ครอบครัวของเธอรักเธอมากถึงเพียงนี้ ตนคงหมดหนทางจะปฏิเสธน้ำใจจริงๆ!
…
ช่วงนี้อวี๋หวั่นพบว่าเหล่าบุรุษทั้งหลายดูแปลกไป ประการแรกเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ชอบอ่านหนังสือตอนกลางคืนแล้ว คนในชีสยาย่วนก็ออกมาทำกิจกรรมน้อยลง อาม่าปิดประตูอยู่ในห้อง ไม่รู้ว่าเขียนอะไรอยู่ทุกวัน อาเว่ยก็คุยกับชิงเหยียนและเยว่โกวน้อยลง ส่วนเจียงไห่ ก็ออกไปข้างนอกเกือบทุกวัน แม้แต่อวี๋หวั่นก็ไม่รู้ว่าเขากำลังยุ่งอะไร
ในวันนี้ อวี๋หวั่นพาไข่ดำทั้งสามไปพักผ่อนยามบ่าย หลังจากเด็กน้อยหลับ อวี๋หวั่นก็ไปที่ชีสยาย่วนเพื่อถามว่าอาม่าอ่านหนังสือต้นฉบับนั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีเบาะแสคนรุ่นหลังของพ่อมดและนักบุญหรือไม่ ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อเมื่อใกล้ถึงลาน ก็เห็นเจียงไห่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ออกมา
ดวงตาของอวี๋หวั่นเป็นประกาย แวบกายไปหลังต้นไม้ใหญ่
เจียงไห่มองไปรอบๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครติดตามจึงมุ่งหน้าไปที่ประตูหลังของจวนเห้อเหลียน
“ชายผู้นี้ทำลับๆ ล่อๆ อันใด?” อวี๋หวั่นแตะคาง เดินกลับไปที่ลานเพื่อเรียกซิวหลัว ให้เขาพาเธอตามออกไป
ด้วยพลังหูของเจียงไห่ คนธรรมดาไม่สามารถสะกดรอยเขาได้ ทว่าซิวหลัวไม่เหมือนกัน
ซิวหลัวพาเธอเหาะไปเหนือศีรษะของเจียงไห่ เจียงไห่ก็ไม่สังเกตเห็น
ซิวหลัวแลบลิ้นให้เจียงไห่
แบร่ แบร่ แบร่!
เจียงไห่สัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างด้วยสัญชาตญาณ และทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นไป
แต่ซิวหลัวได้พาอวี๋หวั่นแวบร่างออกไปไกลกว่าสิบฉื่อแล้ว
วิชาตัวเบาของซิวหลัวนั้นดีพอ ทั้งยังดูดพลังภายในของซิวหลัวตัวใหม่สามคนกลับมา เขาจึงยิ่งทรงพลังมากขึ้น
เจียงไห่ส่ายหัว กล่าวในใจว่าตนเองคิดมากเกินไป และใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าต่อไปโดยไม่วอกแวก
เขาหยุดอยู่ที่สำนักราชครู จากนั้นอวี๋หวั่นก็เห็นเขาหยิบเหรียญตราของจวนเห้อเหลียนเดินเข้าไปในสำนักราชครูอย่างเปิดเผย
สิ่งที่น่ากล่าวถึงคือ หลังจากการสมรู้ร่วมคิดระหว่างสำนักราชครูและฮองเฮาถูกเปิดโปง องค์ประมุขได้ส่งกองทัพทหารรักษาพระองค์และองครักษ์ของจวนเห้อเหลียนไปปิดล้อมสถานที่นั้น เจียงไห่เป็นคนของจวนเห้อเหลียน เหรียญตราของเขาทำให้เขาสามารถมาที่สำนักราชครูได้อย่างอิสระ
อวี๋หวั่นลูบดูรอบเอว มัวแต่คิดจะตามเจียงไห่จนลืมนำเหรียญตรามา
ซิวหลัวคว้าตัวเธอเหาะเข้าไป!
“ราชครูถูกคุมขังอยู่ที่ใด?” เจียงไห่ถามทหารรักษาพระองค์ที่ลาดตระเวนอยู่
“ในคุกใต้ดิน”
เมื่อเห็นว่าเขาถือเหรียญตราของจวนเห้อเหลียน ทหารรักษาพระองค์ก็ชี้ทางให้เขาเห็นอย่างสุภาพนอบน้อมยิ่ง
อวี๋หวั่นแตะคาง เจียงไห่กำลังหาราชครูอยู่หรือ?
“อ๊ะ–“
อวี๋หวั่นยังไม่ทันตอบสนอง ก็ถูกซิวหลัวลากและบินไปที่ห้องขัง
ยามที่อวี๋หวั่นเข้ามาในคุกใต้ดิน หัวของเธอก็ฟูยุ่งเป็นรังไก่
เธอคายใบไม้ที่ไม่รู้ว่าบินเข้าปากเมื่อไรออกมาอย่างเงียบๆ
ครั้งหน้าก่อนจะบิน บอกกันก่อนได้หรือไม่?
การคุ้มกันคุกใต้ดินยังนับว่าแน่นหนา แต่ตราบใดที่ถือเหรียญตราของสกุลเห้อเหลียนก็สามารถเข้าสู่สถานที่ที่ไร้ผู้คน คิดแล้วก็ไม่แปลกใจ สกุลเห้อเหลียนภักดีต่อองค์ประมุขและประเทศชาติ เป็นครอบครัวของตี้จีองค์โต ในวันประลองยิ่งออกปฏิบัติการ ‘ซิวหลัว’ สร้างคุณูปการยิ่งใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงทหารรักษาพระองค์ แม้แต่ชาวบ้านต่างก็เห็นสกุลเห้อเหลียนเป็นผู้มีพระคุณเหลือล้นของพวกเขา
เมื่อเจียงไห่มาถึงห้องขังที่ราชครูถูกคุมตัวอยู่ ก็มีคนมาถึงเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว
คนผู้นี้หาใช่ใครอื่น แต่เป็นศิษย์ใหญ่ของราชครู หวั่นเฟิง
ราชครูกระทำความผิดร้ายแรงเช่นนี้ ทั้งสำนักราชครูติดร่างแหไปด้วย อวี๋หวั่นรีบออกหน้าเก็บหวั่นเฟิงไว้
ราชครูประสบกับความลำบากยากเข็ญ นั่งอยู่บนเสื่อซอมซ่อในเสื้อผ้าขาดวิ่น หวั่นเฟิงคุกเข่าต่อหน้าเขาทั้งน้ำตา เขาร่ำไห้อย่างโศกเศร้า “อาจารย์…ข้าขอโทษ…ข้า…ข้าไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้…”
ไม่เคยคิดว่าราชครูจะลงเอยแบบนี้
และไม่คิดว่าจะมีการสมรู้ร่วมคิดที่น่ากลัวเช่นนี้ระหว่างสำนักราชครูกับฮองเฮา
เขาไม่อยากให้ราชครูทำร้ายอวี๋หวั่น แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ราชครูตาย
เขาเป็นอาจารย์ของเขา เขาเข้าใจมาตลอด
ราชครูทอดถอนใจอย่างห่อเหี่ยว “ข้าไม่โทษเจ้า ลุกขึ้นเถอะ”
หากจะโทษก็ต้องโทษสตรีผู้นั้นที่หลอกลวงเขาและอาจารย์ และยังให้ทุกคนกลายเป็นเบี้ยของนาง ในปีนั้นก่อนที่อาจารย์จะตายได้กำชับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ‘ข้าให้เจ้านั่งตำแหน่งราชครูได้ แต่เจ้าต้องสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อฮองเฮาและตี้จีไปชั่วชีวิต!’
เขาภักดีแล้วไง
ในพริบตา พี่ใหญ่เจียงก็กลายเป็นน้า และอาจารย์ก็กลายเป็นลุงรอง หวั่นเฟิงกลายเป็นคนโง่ตะลึงงัน
อวี๋หวั่นกะพริบตา เป็นข่าวที่น่าตื่นใจยิ่งนัก นี่เพราะไม่มีเมล็ดทานตะวัน ไม่เช่นนั้นเธอคงแกะฆ่าเวลาไปแล้ว
“พี่สาวของข้าละ?” ปฏิกิริยาของเจียงไห่ นับเป็นการยืนยันคำพูดของราชครูไปโดยปริยาย
ราชครูกล่าวว่า “พี่สาวของเจ้าคลอดหวั่นเฟิงออกมายากลำบาก หลังจากให้กำเนิดไม่นานนัก นางก็จากไป น้องชายของข้าแบกรับความเจ็บปวดไม่ไหวและตรอมใจจากไปหลังจากนั้นไม่นาน ข้าพาหวั่นเฟิงกลับมาที่สำนักราชครู ข้าไม่ต้องการให้ผู้คนรู้เรื่องครอบครัวของตนเองมากเกินไป จึงโกหกว่าหวั่นเฟิงเป็นเพียงเด็กที่มาจากสามัญชน”
หวั่นเฟิงเกาหัว “พี่ใหญ่เจียงเป็นน้าของข้าจริงๆ หรือ? เหตุใดข้าไม่เชื่อเลยสักนิด?”
“ป้ายหยกที่ข้าให้เจ้าสวมติดตัวไว้อยู่ที่ใด?” ราชครูถาม
หวั่นเฟิงดึงเชือกสีแดงออกจากใต้คอ บนเชือกนั้นห้อยป้ายหยกแกะสลักปลาที่มีเพียงครึ่งหนึ่ง “นี่ขอรับ ท่านอาจารย์ไม่ยอมให้ข้าถอด ข้าจึงสวมมันติดตัวไว้ตลอดเวลา”
เจียงไห่หยิบป้ายหยกแกะสลักปลาอีกชิ้นหนึ่งออกมาจากแขน และนำมารวมกับป้ายหยกของหวั่นเฟิง กลายเป็นภาพของราศีมีนที่สมบูรณ์
ที่ผ่านมาเจียงไห่ไม่เคยดูใบหน้าของหวั่นเฟิงอย่างละเอียด ทว่ายามนี้เขามองเข้าไปใกล้ๆ และพบว่าคิ้วและคางของเขาช่างเหมือนกับพี่สาวคนโตยิ่งนัก
ราชครูยิ้มและพูดติดตลกกับหวั่นเฟิง “ดูสิ เจ้าก็ไม่ได้ช่วยคนผิดนะ เขาเป็นน้าของเจ้า”
“แต่ท่านก็ยังเป็นลุงรองของข้านะ…” หวั่นเฟิงร้องไห้อีกครั้ง หากเขารู้ว่าอาจารย์ไม่ใช่บิดาของเขา เขาก็คงหลอกเบากว่านี้แล้ว…ยามนี้เป็นอย่างไรละ? หลอกคนเข้าคุกจนออกมาไม่ได้อีกแล้ว “ท่านอาจารย์ ฮือๆๆ…”
ราชครูปัดแขนเสื้อเยาะเย้ยตัวเอง “เอาละ ที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว พวกเจ้าสองน้าหลานไปสนทนาความหลังกันเองเถิด หวั่นเฟิงเจ้าจะไปหรืออยู่ก็แล้วแต่เจ้า อย่างไรเสีย…สำนักราชครูก็จะไม่มีอีกแล้ว”
หวั่นเฟิงร้องไห้โฮ “ท่านอาจารย์…”
เจียงไห่มองราชครู จากนั้นก็มองหวั่นเฟิงที่กำลังร่ำไห้ราวกับเด็กน้อย เขายืนขึ้นโดยไม่พูดอะไรและลากหวั่นเฟิงออกไป
อวี๋หวั่นผงะค้างกับการเผยสัมพันธ์เครือญาติที่กะทันหันไม่ทันตั้งตัว เธอรู้ว่าเจียงไห่มีความเป็นมาแตกต่าง แต่ไม่รู้ว่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหวั่นเฟิง
“ลงมาเถอะ คนไปไกลแล้ว”
จู่ๆ ราชครูก็เอ่ยขึ้น
อวี๋หวั่นหันกลับไปมองทางเดินที่ไร้เงาคนเดินไปมานานแล้ว จากนั้นก็มองไปยังทิศของประตูห้องขัง พูดถึงใคร?
ราชครูกล่าว “ไม่ต้องมองแล้ว องค์หญิงหวั่น”
บุรุษผู้นี้ กระทั่งวิชาตัวเบาของซิวหลัวก็ไม่อาจหลอกเขาได้?
ในเมื่อถูกพบแล้ว อวี๋หวั่นก็ไม่จำเป็นต้องแอบซ่อนอีก เธอปรากฏตัวพร้อมกับซิวหลัวเดินเข้าไปยังห้องขังของเขา แล้วก้มลงมองจากด้านบน “เจียงไห่กับน้องสะใภ้เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ราชครูกล่าว “คนของสำนักเฟยอวี๋”
อวี๋หวั่นแปลกใจ “สำนักเฟยอวี๋? ไม่เคยได้ยิน”
ราชครูกล่าวอีกครั้ง “ไม่เป็นไร ไม่นานเจ้าก็จะได้ไป”
“หือ?” ตอนนี้อวี๋หวั่นเริ่มสับสน
ราชครูเปลี่ยนเรื่อง “บนร่างกายเจ้ามีปานของเผ่าปีศาจหนึ่งแห่ง ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่?”
“ใช่มีปานแห่งหนึ่ง” แต่มาจากเผ่าปีศาจหรือไม่ เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้บอก เธอทิ้งเรื่องปานไว้เบื้องหลัง จนกระทั่งราชครูเอ่ยถึงมันอีกครั้งในยามนี้ “ทำไมหรือ?”
ราชครูมองกำแพงและพูดว่า “ปานของเผ่าปีศาจมีเพียงคนของเผ่าปีศาจเท่านั้นที่จะมีได้ พ่อแม่เจ้าเป็นคนหนานจ้าว เจ้าไม่แปลกใจหรือว่าเหตุใดถึงมีปานของเผ่าปีศาจอยู่บนร่างกายเจ้า?”
“เหตุใด?” อวี๋หวั่นถาม
“เพราะว่า” ราชครูยิ้ม
………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]