หลังจากนั้น สายตาที่อวี๋หวั่นก็มองบุรุษชุดดำแปรเปลี่ยนไปเป็นเยียบเย็น
บุรุษชุดดำรู้สึกงุนงง “อะไรอีก?”
อวี๋หวั่นใบหน้าบูดบึ้ง “ชั่วช้า”
บุรุษชุดดำ “???”
บุรุษชุดดำ “!!!”
พวกเขาเดินทางต่อ บุรุษชุดดำไม่ได้หลอกลวงอวี๋หวั่น ระหว่างทางไม่พบหมู่บ้านหรือโรงเตี๊ยมอย่างแน่นอน พวกเขาแลดูประหนึ่งเดินเข้าไปในทุ่งหญ้ารกร้าง นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีเงาของผู้ใดอีก
อวี๋หวั่นเริ่มหิวแล้ว
บุรุษชุดดำให้ลูกน้องย่างกระต่ายป่าให้เธอ อวี๋หวั่นท้องไส้ไม่ปกติดังเคย อีกทั้งยังรู้สึกคลื่นไส้ กินน่องกระต่ายเข้าไปเพียงสองคำ ก็ฉีกส่วนที่นุ่มที่สุดให้ซิวหลัว
ตกดึก กลางทุ่งก็มีฝนตกหนัก
พวกเขานั่งหลบฝนอยู่บนรถม้า
นี่เป็นโอกาสทองที่จะหลบหนี สายฝนกระหน่ำสามารถกลบกลิ่นของพวกเขา และกลบเกลื่อนร่องรอยของพวกเขา อุปสรรคเพียงอย่างเดียวก็คืออวี๋หวั่นปวดท้องเหลือเกิน ไม่รู้ว่าประจำเดือนกำลังจะมาหรือเปล่า
หลายเดือนมานี้ประจำเดือนของเธอมาไม่ปกติ เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ได้จดบันทึก แต่นี่ก็เป็นความเจ็บปวดที่แสนคุ้นเคย เห็นทีคงจะใกล้มาแล้ว
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง การหลบหนีก็คงไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดเท่าไร
อวี๋หวั่นพักความคิดที่จะหลบหนีไว้ก่อน
ความจริงเป็นประจักษ์แล้วว่าแผนการนี้ชาญฉลาดที่สุด เพราะว่าหลังจากผ่านไปเพียงครู่เดียว เธอก็ผล็อยหลับไป
บุรุษชุดดำได้กินเสียงกรนเบาๆ ของอวี๋หวั่น ก็อดยกยิ้มมุมปากไม่ได้ ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ ยังหลับได้อย่างสบายอารมณ์ เห็นจะไม่มีผู้ใดทำได้อีกแล้ว
ผู้ที่ดีใจเมื่อฝนตกหนักมิได้มีเพียงอวี๋หวั่น บุรุษชุดดำอยากจะโยนซิวหลัวทิ้งเสียจริง ถ้าหากไม่มีซิวหลัว สตรีคนนี้ก็คงไม่จองหองถึงเพียงนี้หรอก
เขาคิด จากนั้นก็ลงมือทำ
เขาอาศัยจังหวะที่อวี๋หวั่นไม่รู้ตัว ใช้ตาข่ายจับซิวหลัวออกมา มัดเขาไว้กับก้อนหินก้อนใหญ่ จากนั้นก็รีบฉวยโอกาสหนีออกมาในคืนฝนตก
ครั้นอวี๋หวั่นลืมตาตื่นขึ้นจากความฝัน ซิวหลัวก็กลับมาบนรถม้าแล้ว เนื้อตัวของเขาเปียกปอน กระนั้นท้องฟ้าก็สดใสแล้ว
อวี๋หวั่นโล่งใจ เธอยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของซิวหลัว “พวกเขาจับเจ้าโยนทิ้งอีกแล้วหรือ?”
“อื้ม” ซิวหลัวน้อยใจ ศีรษะของเขาขยับขึ้นลงใต้ฝ่ามือของอวี๋หวั่น
ครั้งนี้บุรุษชุดดำต้องการสลัดซิวหลัวให้หลุด จึงคิดจะทิ้งตาข่ายซิวหลัวไปพร้อมกัน จะเรียกว่าพวกเขาลงทุนไปมหาศาลก็ย่อมได้ ตราบจนวันนี้ ก็ยังไม่มีซิวหลัวคนใดที่สามารถเล็ดลอดออกมาจากตาข่ายซิวหลัวได้ แต่ซิวหลัวคนนี้กลับทำได้
เพียงแต่การดิ้นรนออกมาจากตาข่ายนั้นนำมาซึ่งความเจ็บปวด หลังจากที่ฝนตก เขาก็สัมผัสกลิ่นของอวี๋หวั่นไม่ได้อีกแล้ว ซิวหลัวตามหาอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ จนในที่สุดก็ตามหารถม้าของพวกเขาจนพบ
อวี๋หวั่นหยิบเสื้อผ้าออกมา และให้ซิวหลัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่รถม้าฝั่งตรงข้าม ทั้งยังเปิดห่อยาสมุนไพรซึ่งซื้อมาระหว่างทางเพื่อรักษาบาดแผลภายนอกจากตาข่ายให้ซิวหลัว
“เจ็บไหม?” อวี๋หวั่นถาม
ซิวหลัวส่ายหน้า
ซิวหลัวไม่กลัวเจ็บ
ซิวหลัวกลัวถูกทิ้งมากกว่า
อวี๋หวั่นตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องพาซิวหลัวหนีไปให้ได้
ยามสนธยา ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงเชิงเขาแห่งหนึ่ง เป็นหุบเขาอันงดงาม เห็นได้ชัดว่าเป็นพื้นที่ห่างไกล แต่กลับมีผู้คนพลุกพล่าน จ้อกแจ้กจอแจ
“ลงจากรถได้แล้ว” บุรุษชุดดำบอก
อวี๋หวั่นคร้านจะสนใจเขา เธอจูงซิวหลัวลงจากรถม้า
หลังจากที่ออกจากหนานจ้าว สิ่งที่เปลี่ยนไปมิได้มีเพียงสภาพอากาศ แต่สำเนียงภาษาก็ยังแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด อวี๋หวั่นฟังผู้คนบนท้องถนนพูดไม่ค่อยออก ตอนนี้ถ้าหากคิดจะไปแอบฟังข้อมูลจากชาวบ้าน เกรงว่าคงจะทำได้ไม่ง่ายเสียแล้ว
อวี๋หวั่นมองไปยังป้ายหน้าสำนัก
“เขียนว่าอะไรน่ะ” อวี๋หวั่นถาม
บุรุษชุดดำเหลือบมองเธอ แล้วตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจว่า “สำนักเฟยอวี๋”
สำนักเฟยอวี๋?
ทำไมชื่อนี้คุ้นหูจังเลยนะ
‘เจียงไห่กับน้องสะใภ้เจ้าเป็นใครกันแน่?’
‘คนของสำนักเฟยอวี๋’
‘สำนักเฟยอวี๋? ไม่เคยได้ยิน’
‘ไม่เป็นไร ไม่นานเจ้าก็จะได้ไป’
บทสนทนากับราชครูครั้งก่อนผ่านเข้ามาในสมอง อวี๋หวั่นลูบคางคล้ายกับกำลังมีความคิด
สำนักเฟยอวี๋ที่พูดถึงคือสำนักเฟยอวี๋แห่งนี้หรือเปล่านะ?
ราชครูเดาออกหรือ? เธอมาถึงเร็วขนาดนี้เชียวหรือ?
“เป็นถึงราชครูของอาณาจักรหนานจ้าว ต้องมีความสามารถบ้างแหละ” อวี๋หวั่นพึมพำ
“เจ้าพูดอะไร?” บุรุษชุดดำมองมา
อวี๋หวั่นทำสีหน้าเรียบเฉย “ข้าบอกว่าทำไมเจ้าไม่พาข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก ข้าหิวมาทั้งวันแล้ว!”
บุรุษชุดดำมุมปากกระตุก เจ้าพูดอย่างกับว่ากระต่ายกับเสี่ยวหลงเปาพวกนั้นลงไปอยู่ในท้องของคนอื่น
บุรุษชุดดำเดินนำอวี๋หวั่นเข้าไป
อวี๋หวั่นถือโอกาสลอบสังเกตกิริยาท่าทาง และพบว่าเขาไม่น่าจะมายังสำนักกลางหุบเขานี้เป็นครั้งแรก คนที่แลดูมีตำแหน่งในสำนักก็คล้ายกับว่าจะเกรงอกเกรงใจบุรุษชุดดำผู้นี้
มีลูกศิษย์เดินนำพวกเขาเข้าไปในเรือนเงียบสงัดหลังหนึ่ง
อวี๋หวั่นสั่งอาหารมาสามสี่อย่าง ระหว่างที่รออาหาร เธอก็เริ่มขบคิดว่าจะหลบหนีจากที่นี่อย่างไร
สำนักเฟยอวี๋กว้างใหญ่เพียงนี้ ลูกศิษย์ลูกหาหากไม่มีนับพันก็ต้องมีหลายร้อย เจียงไห่มีตำแหน่งเป็นอะไรที่นี่? มีสักกี่คนที่รู้จักเขา?
“ฮูหยิน อาหารเย็นของท่านเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ทันใดนั้นก็มีเสียงของสาวใช้ดังมาจากด้านนอก
อวี๋หวั่นดวงตาเป็นประกาย “เข้ามา”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ยกอาหารเข้ามาด้านใน
อวี๋หวั่นถามนางว่า “เจ้าพูดภาษาหนานจ้าวได้หรือ?”
ภาษาหนานจ้าวคล้ายกับภาษาของจงหยวน เพียงแต่มีสำเนียงที่แตกต่างกัน ทว่าสาวใช้คนนี้มีสำเนียงของหนานจ้าว
สาวใช้ตอบว่า “ท่านแม่ของบ่าวเป็นคนหนานจ้าวเจ้าค่ะ”
“ที่นี่คือที่ไหนหรือ?”
“สำนักเฟยอวี๋เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ
อันที่จริงอวี๋หวั่นอยากถามว่า ‘ข้าหมายความว่าที่นี่คือบ้านใคร’ คิดไปคิดมา คำถามนี้อาจทำให้นางเคลือบแคลงใจ เพราะฉะนั้นเธอจึงไปเบนสายไปมองอาหารที่สาวใช้กำลังจัดวางลงบนโต๊ะ “ข้าสั่งไปสามอย่าง ทำไมเจ้ายกมาตั้งมากมาย”
สาวใช้ตอบว่า “โอ้ วันนี้มีงานมงคลของสำนักเจ้าค่ะ อาหารเหล่านี้มีไว้ต้อนรับแขก! ไม่ได้ให้ฮูหยินเพียงคนเดียว แต่ยังให้แขกคนอื่นๆ ด้วยเจ้าค่ะ”
“ที่นี่มีแขกหลายคนหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
สาวใช้พยักหน้า “เจ้าค่ะ หนึ่งร้อยหลี่โดยรอบเป็นพื้นที่ของสำนักทั้งหมด พ่อค้าที่สัญจรไปมาสามารถเข้ามาพักได้ เจ้าสำนักเป็นคนโอบอ้อมอารี หากไม่ใช่โจรก็ล้วนแต่ต้อนรับทุกคนเจ้าค่ะ”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” แต่นางยังไม่ได้บอกเลยนี่ว่าอยู่ประเทศไหน ถึงเผ่าปีศาจแล้วหรือยัง อีกไกลไหม
อวี๋หวั่นนึกบางอย่างออก “ใช่สิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าในสำนักมีงานมงคล งานมงคลอะไรหรือ?”
“เจ้าสำนักน้อยกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้พูดด้วยความปีติยินดี
เจ้าสำนักน้อย?
อวี๋หวั่นไม่ได้นึกสนใจเจ้าสำนักน้อยของสำนักเฟยอวี๋ เธอแค่อยากรู้ว่าเจียงไห่อยู่ที่ไหน “เอ่อ เมื่อครู่ข้าไม่ทันระวัง เดินไปชนกับลูกศิษย์ของที่นี่คนหนึ่ง เขาชื่อเจียงไห่ วานเจ้าไปขอโทษเขาแทนข้าที”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]