หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 359

อวี๋หวั่นเดินเล่นอยู่ในสำนักสักพัก ทว่าสำนักนี้ใหญ่เหลือกิน ใหญ่ยิ่งกว่าจวนสกุลเห้อเหลียนทั้งสองฝั่งรวมกันเสียอีก อวี๋หวั่นเดินไปจนขาแทบหัก แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของเจียงไห่

พวกเขาไม่อาจเดินเอ้อระเหยลอยชายตามหาเจียงไห่เช่นนี้ต่อไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงต้องตามหาอีกนาน

กระนั้นก็ไม่สามารถถามไปตรงๆ ว่าเจ้าสำนักอยู่ที่ใด คงจะ อาจจะ เป็นไปได้ว่าจะไม่มีใครบอกคนนอกอย่างเธอ

อวี๋หวั่นลูบคาง เธอชักจะเริ่มสงสัยในชีวิตแล้ว

ทูตแห่งความมืดทั้งสองตามมาราวกับเงาตามตัวจนอวี๋หวั่นเริ่มรู้สึกรำคาญ

พวกเขาเดาไม่ออกว่าเป้าหมายของอวี๋หวั่นกับซิวหลัวคืออะไรเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ติดตามมาขวางหูขวางตาเช่นนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อวี๋หวั่นหยุดฝีเท้าลง

ซิวหลัวก็หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน

ทูตแห่งความมืดทั้งสองก็หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน

อวี๋หวั่นหันหน้าไปแล้วพูดกับพวกเขาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “บุรุษผู้อาจหาญทั้งสอง พวกเจ้าตามติดพวกข้ามาทั้งคืนไม่เหนื่อยบ้างหรือ?”

ซิวหลัว: นั่นสิ ไม่เหนื่อยหรืออย่างไร!

ทูตแห่งความมืดทางซ้ายตอบว่า “ฮูหยินไม่เหนื่อย ข้าก็ไม่เหนื่อย”

อวี๋หวั่นเป่าเส้นผม “แต่ข้าเห็นพวกเจ้าแล้วเหนื่อยใจ”

ซิวหลัว: เหนื่อยใจ!

ทูตแห่งความมืดทางขวาบอกว่า “ฮูหยินเดินต่อไปเถิด ไม่ต้องสนใจพวกข้า”

“ข้าหิวแล้ว” อวี๋หวั่นบอก

ทั้งสองมุมปากกระตุก เอาอีกแล้ว แม่นางคนนี้ถ้าหากในหนึ่งวันไม่หิวสักเจ็ดแปดครั้งไม่ได้เลยใช่ไหม?

ทูตแห่งความมืดทางขวาพูดต่อ “เช่นนั้นฮูหยินก็กลับเรือน ในครัวมีคนทำอาหารให้”

อวี๋หวั่นตอบอย่างเกียจคร้านว่า “ข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว เดินไม่ไหวแล้ว พวกเจ้าไปหาของกินมาให้หน่อยสิ กินอื่มแล้วข้าถึงจะมีแรงเดินกลับเรือน”

ทั้งสองมุมปากกระตุก ความสามารถในการพูดจาส่งเดชหน้าตายเช่นนี้ หากแม่นางผู้นี้เป็นที่สอง เกรงว่าคงจะไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นเป็นที่หนึ่งแล้ว พวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับเธอได้ เรื่องบางเรื่องพวกเขาอาจเลือกปฏิเสธ แต่เรื่องอาหารการกินเครื่องนุ่งห่ม พวกเขาจะปฏิเสธก็คงไม่เหมาะนัก

ระหว่างทั้งสองฝ่ายมีเส้นกำหนด หากไม่ล้ำเส้นกัน เธอก็คือฮูหยิน พวกเขาก็คือบ่าว

“ฮูหยินอยากกินอะไรหรือขอรับ” ในที่สุดทั้งสองก็ยอมประนีประนอมด้วย ทูตแห่งความมืดทางขวาตัดสินใจไปยกอาหารมาให้อวี๋หวั่น

แน่นอนว่าอวี๋หวั่นย่อมต้องเลือกอาหารที่ขั้นตอนการปรุงซับซ้อน “ก้วนทังเปาหนึ่งเข่ง เนื้อตุ๋นน้ำแดงหนึ่งชาม กระดูกสันหลังแพะหนึ่งหม้อ”

ทูตแห่งความมืดทางขวาบอกว่า “มากขนาดนี้เชียวหรือ เกรงว่าคงจะยกมาไม่หมด”

ทั้งเข่งทั้งหม้อ เห็นทีคงต้องสร้างห้องครัวให้แล้วกระมัง!!

อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “แม้แต่ก้อนหินที่หนักนับร้อยจินเจ้ายังยกไหว กับข้าวแค่ไม่กี่อย่างจะยกไม่ไหวเชียวหรือ อย่ามาหลอกกันเสียให้ยาก”

ซิวหลัวถลึงตาใส่พวกเขา ใช่แล้ว! อย่ามาหลอกกันเสียให้ยาก!

ทูตแห่งความมืดทางขวาจึงเดินไปยังห้องครัวอย่างจนปัญญา

ครั้นอยู่ในเผ่า เขาได้ยินเรื่องราวของฮูหยินผู้นี้มาไม่น้อย ว่านางเป็นคนที่ใครได้ยินชื่อก็ต้องหน้าถอดสี เดิมทีเขาก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าบัดนี้ได้เห็นเป็นประจักษ์แล้ว คนในเผ่าไม่ได้หลอกเขาจริงๆ นางเอาใจยากเหลือเกิน!

เมื่อเพื่อนไปแล้ว ทูตแห่งความมืดทางซ้ายก็เหลือตัวคนเดียว

อวี๋หวั่นเดินไปอีกสามสี่ก้าว สายตาก็เบนมาแล้วถามเขาว่า “ห้องน้ำอยู่ไหนหรือ?”

เจ้าเป็นสตรี มาถามบุรุษว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหนเช่นนี้จะดีหรือ?

เขาชี้นิ้วออกไป “อยู่นั่น”

อวี๋หวั่นมองออกไป อยู่ไม่ไกล แต่ถึงอย่างนั้นสลัดหลุดไปสักคนก็ยังดี

“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่แหละ ประเดี๋ยวข้ากลับมา” อวี๋หวั่นบอก

เขาเดินตามไป “ข้าน้อยได้รับคำสั่งมาให้อารักขาฮูหยิน จะออกห่างจากฮูหยินไม่ได้”

อวี๋หวั่นหัวเราะเบาๆ “สำนักเฟยอวี๋ป่าเถื่อนจนคิดว่าข้าคงโดนจับกินกระมัง? ข้าว่าเจ้ากำลังจับตามองข้าเสียมากกว่า”

เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “แล้วแต่ฮูหยินจะคิด”

“ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ตามข้ามา”

พูดจบ อวี๋หวั่นก็เดินไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง

“หึ!” ซิวหลัวมองค้อนทูตแห่งความมืด จากนั้นก็เดินไปอย่างผึ่งผาย

ทูตแห่งความมืดเดินตามทั้งสองไปถึงห้องน้ำ

ห้องน้ำที่นี่ใหญ่เหลือเกิน กว้างขวางราวกับเป็นเรือนหลังหนึ่ง หากไม่รู้ก็คงคิดว่าเป็นเรือนหรู

อวี๋หวั่นหยุดฝีเท้าหน้าประตู แล้วหันไปบอกว่า “ตอนนี้เจ้าคงจะไม่ตามข้าเข้ามาแล้วกระมัง? หลังจากนี้ถ้าหากข้าอาบน้ำ พวกเจ้าก็คงจะต้องมายืนเฝ้าด้วยสินะ? นายเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำเช่นนี้กับฮูหยินของเขา?”

ทูตแห่งความมืดหน้าแดงก่ำในทันใด

คำพูดเหลวไหลเช่นนี้ นางกล้าพูดออกมาด้วยรึ?

เขาไม่คิดจะตามเข้าไปตั้งแต่แรกแล้ว อย่างไรเสียที่นี่ก็แขวนป้ายเอาไว้ ศิษย์หญิงเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้ เขาเป็นบุรุษอกสามศอก จะเข้าไปได้อย่างไร?

“ข้าจะรอฮูหยินอยู่ที่นี่” ทูตแห่งความมืดก้มหน้า สายตาของเขายังคงแน่วแน่

อวี๋หวั่นบอกกับซิวหลัวว่า “ซิวหลัว ดูเขาไว้ ข้ากังวลเหลือเกินว่าเขาจะเข้าไปแอบดูร่างกายอันงดงามของข้า!”

ทูตแห่งความมืดโมโหจนมุมปากกระตุกไม่หยุด ใครจะไปแอบดูเจ้า!!!

ซิวหลัวก้าวไปด้านหน้า เพื่อขวางหน้าเขาไว้

อวี๋หวั่นแค่นเสียงหัวเราะ “ศิษย์พี่หญิงไฉ่เยี่ยนจำข้าได้ด้วยหรือ?”

“ศิษย์พี่หญิง นางเป็นใครกัน?” ไฉ่อวี้ถาม

“แขกที่มาพักน่ะสิ! ที่เมื่อครู่มาดูเจ้าสำนักน้อย!” ไฉ่เยี่ยนตอบด้วยความรังเกียจ

แม้ปากจะบอกว่ารังเกียจ แต่เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของอวี๋หวั่นชัดๆ แล้ว นางถึงกับลอบหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง เมื่อครู่คิดแต่จะเรียกร้องความสนใจจากเจ้าสำนักน้อย จนลืมสังเกตแขกคนนี้ไปเสียสนิท นางงดงามเสียจนศิษย์หญิงในสำนักดูหม่นหมองไปเมื่ออยู่ต่อหน้านาง

โชคดีที่เจ้าสำนักน้อยไม่แม้แต่จะมองเหล่าศิษย์หญิง มิเช่นนั้นลำพังรูปร่างหน้าตาของนาง เจ้าสำนักน้อยมองเพียงปราดเดียวก็คงตราตรึงในใจไม่รู้ลืม

ไฉ่เยี่ยนคิดได้ ไฉ่อวี้ก็คิดได้เช่นเดียวกัน

ไฉ่อวี้ดึงไฉ่เยี่ยนไปด้านข้าง แล้วกระซิบว่า “ศิษย์พี่ นางงดงามถึงเพียงนี้ อีกประเดี๋ยวเจ้าสำนักน้อยเห็นนางย่อมต้องถูกใจนาง พวกเราห้ามให้เจ้าสำนักน้อยเห็นนางเป็นอันขาด”

ไฉ่เยี่ยนก็คิดเช่นนั้น

ไม่ใช่ศิษย์หญิงจากสำนัก ยังจะกล้ามาแย่งเจ้าสำนักน้อยไปอีกหรือ?

ไฉ่เยี่ยนข่มขู่ว่า “ไม่ว่าเจ้าตามพวกข้ามาด้วยเหตุผลใด ข้าขอเตือนเจ้าว่าให้รีบกลับไปเสีย มิเช่นนั้นอย่ามาโทษข้ากับไฉ่อวี้ว่าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”

อวี๋หวั่นร้อง ‘โอ้’ ออกมา “ศิษย์หญิงสำนักเฟยอวี๋ก็ดุดันถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ยังไม่ทันถามข้าเลยว่ามาทำอะไร ก็ไม่เกรงใจข้าเสียแล้ว กฎสำนักของพวกเจ้าบอกไว้หรือว่าห้ามออกมาเดินเล่น?”

“เจ้า…” ไฉ่อวี้เดือดดาล “เห็นชัดๆ ว่าเจ้าตามพวกข้ามา!”

อวี๋หวั่นตอบอย่างปราศจากความอับอาย “ข้าก็เพียงบังเอิญเดินมาทางเดียวกับพวกเจ้า”

ไฉ่อวี้ขมวดคิ้ว “เหลวไหล! พวกข้าจะไปรอเจ้าสำนักน้อยริมทะเลสาบ!”

อวี๋หวั่นยักไหล่ “บังเอิญเสียจริง ข้าก็เหมือนกัน!”

ไฉ่อวี้ยกดาบขึ้นชี้หน้าอวี๋หวั่น “เจ้าเป็นใคร มีคุณสมบัติใดที่จะไปรอเจ้าสำนักน้อยของพวกข้า?!”

อวี๋หวั่นลูบคาง “สัญญาขายตัวของเขาก็อยู่ที่ข้า ถ้าข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะไปรอเขา พวกเจ้าก็ไม่มียิ่งกว่า!”

ไฉ่อวี้เดือดดาล “นางบ้า! ถ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ข้าจะตบปากเจ้า!”

“ดึกดื่นป่านนี้ เอะอะอะไรกัน?”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นด้านหลังพวกเขา

สตรีวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าอาจารย์อาเดินเข้ามา มองทั้งสามด้วยสีหน้าขึงขัง สายตาชะงักที่อวี๋หวั่นชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังไฉ่เยี่ยนและไฉ่อวี้ “เป็นถึงลูกศิษย์ในสำนัก ไม่รู้หรือว่าไม่ควรส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายในสำนัก?”

“ศิษย์สำนึกผิดแล้ว” ไฉ่เยี่ยนบอก

ไฉ่อวี้เอ่ยขึ้นด้วยความน้อยใจว่า “เป็นนางที่สะกดรอยตามพวกข้ามาก่อน นางทำตัวลับๆ ล่อๆ ใครจะไปรู้เล่าว่านางจะทำอะไร นางยังพูดจาล่วงเกินเจ้าสำนักน้อย ข้ากับศิษย์พี่จำต้องสั่งสอนนาง!”

สตรีวัยกลางคนตำหนินางว่า “ผู้มาเยือนเป็นแขก นี่เป็นกิริยามารยาทที่เจ้าใช้ต้อนรับแขกหรือ?”

……………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]