ทันทีที่เห็นว่าขวดหยกนั้นว่างเปล่า ประมุขซางก็รู้ว่าตนเองถูกหลอกเสียแล้ว
เหตุใดจึงบอกว่าถูกหลอก ไม่บอกว่าเข้าใจพวกเขาผิด ก็เพราะว่าในขวดนั้นยังมีกลิ่นอายของหนอนพิษพลังหยินอยู่ เห็นได้ชัดว่าหนอนพิษพลังหยินเคยอยู่ในขวดนี้มาก่อน และเพิ่งอยู่ในนั้นเมื่อไม่นานมานี้ กลิ่นอายของมันยังไม่ทันจางหายไปด้วยซ้ำ
และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เขาและยอดฝีมือสกุลซางถูกหลอก
เด็กคนนี้ แสร้งทำเป็นต่อล้อต่อเถียงกับเขา มั่นใจเหลือล้น เพื่อให้เขาชิงขวดนั้นมา สุดท้ายแล้วกลับเป็นเพียงขวดเปล่า ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตนเองตกหลุมพรางเสียแล้ว เป็นไปตามแผนที่เด็กนี่วางไว้ เขามั่นใจว่าขณะที่ทุกคนล้วนแต่ชุลมุนกันอยู่ที่นี่ หนอนพิษพลังหยินถูกนำไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว
ไม่แน่ว่าตอนนี้หนอนพิษพลังหยินอาจอยู่ในมือของปรมาจารย์ซือคง ในตอนนี้เขายังไม่กล้าบุกเข้าไปในเขาหมิงซานเพื่อชิงหนอนพิษพลังหยินคืนมา
แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะสกุลซางไม่รู้ว่าปรมาจารย์ซือคงกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ มิเช่นนั้นเขาคงจะบุกเข้าไปในเขาหมิงซาน และชิงหนอนพิษพลังหยินคืนมาทันที
สีหน้าของประมุขสกุลซางนั้นย่ำแย่เหลือเกิน
เขาไม่เพียงถูกเล่นงานเข้าเต็มๆ แถมยังเปิดเผยพลังที่แท้จริงของซิวหลัวอีกด้วย
นี่ไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่น้อย
อวี๋หวั่นคิดว่าเรื่องนี้ยังไม่ใหญ่โตพอ เธอกอดอก เลิกคิ้วพร้อมกับพูดว่า “ข้าก็บอกท่านไปแล้วว่าพวกข้าไม่ได้นำ
ของของสกุลซางไป ท่านต้องการราชันสัตว์พิษมาเท่าใด ข้าสามารถจัดหาให้ท่านได้ ทีนี้ปล่อยเขาได้แล้วกระมัง?”
ประมุขซางไหนเลยจะยอมปล่อย? เขาอยากจะบั่นคอบ่าวนั่นให้ตายไปเลยด้วยซ้ำ!
ประมุขซือคงเดินมือไพล่หลังเข้ามา แล้วมองเขาด้วยท่าทางน่าเกรงขาม “ความจริงเป็นประจักษ์แล้วว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ขโมยของของท่าน ท่านอย่าได้ทำให้เขาลำบากเลย”
ประมุขซือคงกำลังมีโทสะ แม้แต่คำว่า ‘พ่อตา’ เขาก็ไม่เรียก
ประมุขซางมองไปยังประมุขซือคง จากนั้นก็มองไปยังนางเด็กจอมเจ้าเล่ห์ ในใจของเขาเดือดดาลเหลือเกิน เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังไม่กล้ามีเรื่องกับสกุลซือคง จึงให้ราชาซิวหลัวระดับเจ็ดปล่อยเด็กนั่นลง จากนั้นก็แค่นเสียงขึ้นจมูกครั้งหนึ่ง แล้วสะบัดแขนเสื้อกลับไป
ในวันนี้ ทั้งสิ่งที่ควรและไม่ควรเปิดเผย กลับถูกเปิดเผยไปแล้ว หากแสร้งกว่ากำลังตามหายาบำรุงและอาวุธต่อไปก็คงไม่มีใครเชื่อ ก่อนจะไป พวกเขาเหลือบมองอวี๋หวั่นเป็นครั้งสุดท้าย
เยี่ยนจิ่วเฉาค่อยๆ เดินลงมาจากรถม้า และเดินลงมาตรงหน้าของอวี๋หวั่น และขวางสายตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารของประมุขซางไว้
เมื่อประมุขซางเห็นหลานชาย ก็ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าซับซ้อน
หลังจากประมุขซางพาลูกน้องกลับไป ประมุขซือคงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาเข้าใจสถานการณ์ของท่านปรมาจารย์ดี แต่ก็คิดไม่ถึงว่าสกุลซางจะมียอดฝีมืออย่างราชาซิวหลัวระดับเจ็ด โชคดีที่ประมุขสกุลซางเกรงกลัวท่านปรมาจารย์ มิเช่นนั้นหากสู้กันขึ้นมาจริง ผู้แพ้ย่อมต้องเป็นพวกเขาอย่างแน่นอน
สกุลซาง…แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน?
ประมุขซือคงส่ายหน้า ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาขบคิดเรื่องนี้ ต้องรีบไปช่วยชีวิตท่านปรมาจารย์ก่อน มิเช่นนั้นถ้าหากไม่มีท่านปรมาจารย์แล้ว สกุลซือคงก็จะสู้สกุลซางไม่ได้เลย
ประมุขซือคงมองไปยังอวี๋หวั่น พร้อมกับเอ่ยถามด้วยสายตาเคร่งขรึม “อาหวั่น หนอนพิษพลังหยินถึงเขาหมิงซานหรือยัง?”
“น่าจะถึงแล้วเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นตอบ
ทุกคนเดินทางเข้าไปในเขาหมิงซาน อวี๋หวั่นเดาได้ไม่ผิด หนอนพิษพลังหยินถูกสัตว์พิษตัวน้อยไล่ไปยังวิหารเจาหยาง อาเว่ยไม่เก่งเรื่องทิศทาง อวี๋หวั่นไม่คิดให้เขานำหนอนพิษพลังหยินกลับไปยังเขาหมิงซานอยู่แล้ว เพียงแต่ให้อาเว่ยนำหนอนพิษพลังหยินไปช่วงหนึ่งเท่านั้น ให้กลิ่นอายของหนอนพิษพลังหยินติดร่างของเขา เพื่อให้ดึงดูดความสนใจของคนสกุลซาง
หนอนพิษพลังหยินถูกราชาศักดิ์สิทธิ์ทำร้ายจนบาดเจ็บ สัตว์พิษตัวน้อยขี่อยู่บนหลังของมัน บินๆ หยุดๆ กระเด้งกระดอน จนมาถึงเขาหมิงซานในยามอาทิตย์อัสดง
หลังจากที่อวี๋หวั่นเผามันในเตา ก็นำไปป้อนให้ท่านตาทวด
“เท่านี้ก็ได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นหันไปมองประมุขซือคง
ประมุขซือคงส่ายหน้า “ไม่ หลังจากนี้ยังต้องรอดูว่าท่านปรมาจารย์สามารถบรรลุวิชาอายุวัฒนะระดับเก้าได้หรือไม่ ถ้าหากทำได้ ขีดจำกัดก็จะถูกทำลาย ถ้าหากทำไม่ได้ พิษของหนอนพิษพลังหยินก็จะทำร้ายเขา”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “อันตรายเหลือเกิน! ทำไมท่านไม่บอกข้าก่อน”
ประมุขซือคงตอบไปตามตรงว่า “ท่านปรมาจารย์มาถึงขีดจำกัดแล้ว ถ้าหากไม่ใช้หนอนพิษพลังหยิน เขาก็คงต้องตายอยู่ดี นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวของท่านปรมาจารย์ ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้น…ล้วนแต่เป็นลิขิตสวรรค์”
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้ามา แล้วบอกว่า “พาท่านปรมาจารย์ไปไว้ในห้องลับก่อน”
อวี๋หวั่นมองไปยังซือคงเย่ซึ่งจุดอิ้นถังเปลี่ยนเป็นสีดำ แล้วพยักหน้าตอบรับ “ได้” จากนั้นจึงหันไปบอกซิวหลัวว่า “เจ้าก็มาด้วยสิ”
ซิวหลัวและซือคงเย่แยกกันเข้าไปในห้องลับในวิหารเจาหยาง ราชาซิวหลัวระดับห้าซึ่งถูกมัดเอาไว้ถูกนำตัวมา
ซิวหลัวฟันน้ำนมดูดซับวรยุทธ์ของเขาทั้งหมด และค่อยๆ บรรลุระดับที่เมื่อหลายวันก่อนยังทำไม่สำเร็จ
ส่วนอาเว่ยถูกซิวหลัวระดับเจ็ดจับไป ทำให้เขาคล้ายกับจะบรรลุระดับอีกเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสามคนจึงขังตนเองไว้ในห้อง
อีกด้านหนึ่ง สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ฟื้นขึ้น ทันทีที่นางลืมตาตื่น ก็พบว่าตนเองถูกผูกไว้ในคุกอันมืดมิด ทั้งมือและเท้ามีตรวนเย็นยะเยือกล่ามเอาไว้ สายตาของนางกระตุกวูบ พร้อมกับตะโกนว่า “ปล่อยข้า! ข้าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งหมิงตูนะ!”
“จุ๊ๆๆ ทำเรื่องเลวร้ายไว้ตั้งมาก ยังจะกล้าเรียกตัวเองว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์อีกหรือ?”
เสียงของอวี๋หวั่นดังขึ้นจากความมืด
ทันใดนั้นเอง ไฟด้านข้างกำแพงก็สว่างขึ้นพร้อมกัน สตรีศักดิ์สิทธิ์ยังปรับสายตาไม่ทัน จึงหันหน้าหนีแสง เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งจึงหันกลับมา สายตาของนางจ้องเขม็งไปยังอวี๋หวั่น “เป็นเจ้า? เจ้าขังข้าเอาไว้รึ?”
อวี๋หวั่นตอบอย่างไม่รีบร้อนว่า “ต้องเป็นข้าอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะมีใครมาจับเจ้าขังไว้?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าใจกล้าเหลือเกินนะ กล้ากักขังสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งหมิงตู!”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งหมิงตูเลิศเลอกระไรถึงเพียงนั้น? พลังระดับเท่าแมวสามขา ข้าไม่ได้อยากมองเสียด้วยซ้ำ ถึงข้าบอกไปว่าข้าขังเจ้าเอาไว้ ใครจะกล้าทำอะไรข้า?”
“เจ้า…” สตรีศักดิ์สิทธิ์นึกได้ว่าในท้องของอวี๋หวั่นมีราชาศักดิ์สิทธิ์ จึงกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอไป
อวี๋หวั่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าจะถามเจ้าว่า ซือคงอวิ๋นอยู่ที่ไหน”
ซือคงอวิ๋นมีสีหน้างงงวย “ข้าไม่รู้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ยืมพวกเขาไป จากนั้นพวกเขาก็ยังไม่กลับมา สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่กลับมาขอรับ!”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์บอกว่านางยืมไปทำอะไร” ประมุขซางถาม
ซือคงอวิ๋นแค่นเสียงในลำคอ “สังหารเยี่ยนจิ่วเฉา! เจ้านั่นที่สวมรอยเป็นข้า!”
ประมุขซางบอกว่า “เจ้าไม่ได้บอกว่าวรยุทธ์ของเขาเก่งกาจมากหรือ?”
ซือคงอวิ๋นตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ ข้าได้ยินสตรีศักดิ์สิทธิ์บอกว่าเขาฝึกวิชาชนิดเดียวกับปรมาจารย์ซือคง วรยุทธ์สูงส่งเกินกว่าจะประเมินได้ สตรีศักดิ์สิทธิ์สู้เขาไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว ข้าคิดว่ายอดฝีมือที่ท่านตาให้มานั้นไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเขา แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์บอกข้าว่าสองวันนี้เยี่ยนจิ่วเฉาอ่อนแอมาก แม้แต่เด็กยังสู้ไม่ได้ นี่เป็นโอกาสดีที่จะลงมือ!”
“สองวันนี้อ่อนแอมาก…” ประมุขซางลุกขึ้นยืนราวกับกำลังใช้ความคิด เขาเปิดหน้าต่างออก มองไปยังดวงจันทร์
สีเงินนวล นัยน์ตาของเขาเย็นชา “เจ้าเด็กนั่นก็ฝึกวิชาอายุวัฒนะหรือ?”
ประมุขซางหันหลังให้ซือคงอวิ๋น ซือคงอวิ๋นจึงมองไม่เห็นสีหน้าถมึงทึงของเขา และไม่ได้ตระหนักถึงความนัยในคำพูดของเขา และตอบว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์บอกว่าอย่างนั้นขอรับ! อา แปลกจริงๆ วิชาอายุวัฒนะเป็นวิชาของตระกูลข้า แม้แต่คนสกุลซือคงของข้ายังฝึกไม่สำเร็จ ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้านั่นไปแอบเรียนมาจากไหน”
ประมุขซือคงเท้าขอบหน้าต่างเบาๆ แล้วพึมพำกับตนเองว่า “เป็นไปได้ไหมว่านั่นคือจุดอ่อนของวิชาอายุวัฒนะ? ถ้าหากใช่ละก็ ปรมาจารย์ซือคงซึ่งฝึกวิชาอายุวัฒนะก็จะอ่อนแอมากที่สุดในช่วงนี้เช่นกัน?”
“ท่านตา ท่านพูดว่าอย่างไรนะขอรับ?” ซือคงอวิ๋นได้ยินไม่ชัดเจน
ประมุขซางกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “ข้าจำได้ว่า ปรมาจารย์ซือคงฝึกวิชาอายุวัฒนะถึงระดับแปดกระมัง?”
“เอ…” ซือคงอวิ๋นครุ่นคิด อย่างนั้นหรือ? เขาไม่รู้เรื่องนี้! เขามองไปยังประมุขซาง “ท่านตารู้ได้อย่างไรขอรับ?”
ประมุขซางยังคงไม่ตอบเขา ได้แต่พึมพำกับตนเองว่า “ระดับแปด เขาถึงขีดจำกัดแล้วกระมัง? หากไม่บรรลุระดับเก้าก็เกรงว่าคงหยุดเพียงเท่านี้ ประมุขซือคงต้องการหนอนพิษพลังหยิน…ก็เพราะต้องการบรรลุระดับเก้าสินะ”
ซือคงอวิ๋นเกาศีรษะแกร็กอย่างฉงนใจ “ท่านตาพูดอะไรหรือ? อะไรระดับเก้าระดับแปด? ทำไมข้าไม่เข้าใจ”
“หนอนพิษพลังหยินของบ้านข้ามีประโยชน์มากเพียงนั้น…” ประมุขซางหลุบตาลง ยกมือขึ้นมาลูบกระถางต้นไม้เบาๆ ต้นซีฝูไห่ถังซึ่งงอกงามดีกลับมีควันสีดำปกคลุม แล้วเฉาตายในพริบตา “ถ้าสกุลซางจะไม่ได้ใช้ ก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะได้ใช้”
“ท่านตา…” ซือคงอวิ๋นมองประมุขซางด้วยความแปลกใจ เขารู้สึกว่าวันนี้ท่านตาแปลกไป!
“พานายน้อยไปพักผ่อนก่อน”
“ขอรับ!”
ประมุขซางออกคำสั่ง องครักษ์ซึ่งเป็นยอดฝีมือก้าวขึ้นมา และพยุงแขนของซือคงอวิ๋นไป
“เอ้อ ท่านตาขอรับ ข้ายังมีเรื่องที่อยากถามท่านอีก…อ้าว! เฮ้ย! ท่านตาขอรับ!” ซือคงอวิ๋นถูกองครักษ์สกุลซางพาตัวไปเสียแล้ว
ประมุขซางมองไปยังดวงจันทร์กลมโตซึ่งส่องสว่างอยู่บนฟ้า เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ครานี้ สกุลซือคงของพวกเจ้าจะต้องชดใช้!”
………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]