ช่วงบ่าย ฝนตกที่เขาหมิงซาน
ฝนตกไม่หนัก และกินเวลาไม่นาน ไม่ถึงครึ่งชั่วยามท้องฟ้าก็กลับมาแจ่มใส
หลังฝนตก เขาหมิงซานก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของดินโคลน ต้นหญ้าเขียวชอุ่มมีชีวิตชีวา
อวี๋หวั่นอุ้มหลานชายตัวน้อยซึ่งกินอิ่มออกมาอาบแดด เสี่ยวเป่าวิ่งเตาะแตะเข้ามาจูงมือของอวี๋หวั่น พร้อมกับชี้
นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า “ท่านแม่ นั่นคืออะไรหรือขอรับ”
อวี๋หวั่นมองตามไป ใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้ม “นั่นคือสายรุ้ง”
“สวยจังเลย” เสี่ยวเป่าเอียงคอมอง
“สวยเหมือนท่านแม่เลย!” เอ้อร์เป่าเดินเตาะแตะเข้ามา
อวี๋หวั่นรู้สึกขบขันกับคำพูดของเด็กๆ เธอหัวเราะจนตัวโยน
เสี่ยวเป่าซึ่งฝีปากไม่อาจสู้พี่ชายได้ จึงถลึงตาใส่พี่ชาย และเดินไปหาต้าเป่า
“ข้าไปด้วย!” เอ้อร์เป่าวิ่งเตาะแตะตามไป
อวี๋หวั่นมองตามลูกๆ ที่วิ่งไปไกล จากนั้นจึงมองยังหลานชายหน้าตาน่ารัก “รอเจ้าโตขึ้น ก็จะได้ไปวิ่งเล่นกับพี่ๆ เหมือนกัน”
หลานชายตัวน้อยเป่าน้ำลายเป็นฟอง
แม่นมเดินมา แล้วบอกกับอวี๋หวั่นว่า “ฮูหยิน ข้าเองเจ้าค่ะ คุณชายน้อยจะหลับแล้ว”
นางเป็นแม่นมที่ประมุขซือคงให้พ่อบ้านหามาให้ ภูมิหลังขาวสะอาด ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ อวี๋หวั่นจึงวางใจปล่อยเด็กๆ ให้อยู่กับนาง เด็กๆ ก็ว่าง่าย ไม่ดื้อไม่ซน กินอิ่มก็นอนหลับ ไม่ทำให้คนดูแลเป็นทุกข์ใจ
แม่นมอุ้มคุณชายน้อยไป
อวี๋หวั่นนั่งลงบนเก้าอี้ อาบแดดอย่างสบายใจ เธออดไม่ได้ที่จะบิดขี้เกียจ ทันใดนั้นเอง เธอก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านตาทวดให้ตำราวิชาอายุวัฒนะมาเล่มหนึ่ง ลืมให้เยี่ยนจิ่วเฉาไป! เยี่ยนจิ่วเฉาก็ฝึกวิชาอายุวัฒนะ น่าจะมีประโยชน์กับเขา…”
อวี๋หวั่นพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน เธอเดินไปได้ก้าวเดียวก็ชะงักฝีเท้า แล้วพูดด้วยความสับสนว่า “วิชาอายุวัฒนะเป็นของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ ทุกวันนี้เขาไม่ใช่อ๋องแห่งเผ่าปีศาจแล้ว เขายังจะยินดีฝึกไหม?”
ฟ้าสีครามสดใส นกนางแอ่นโบยบินผ่านไป
อวี๋หวั่นลูบคาง “ช่างเถอะ เอาไปให้เขาก่อนดีกว่า!”
อวี๋หวั่นเดินกลับห้องของตนไปหยิบตำราวิชาอายุวัฒนะที่ซือคงเย่ปรับปรุงจนสมบูรณ์ออกมาจากลิ้นชัก เธอเคยได้ยินเยี่ยนจิ่วเฉาบอกว่าวิชาอายุวัฒนะของเผ่าปีศาจเป็นเพียงฉบับที่ไม่สมบูรณ์ บันทึกไว้ถึงเพียงระดับหก ทว่าท่านตาทวดเขียนเพิ่มเติมจนถึงระดับแปด ส่วนระดับเก้า ท่านตาทวดเองก็ยังฝึกไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคำอธิบาย เยี่ยนจิ่วเฉาต้องไปคิดเองว่าฝึกได้หรือไม่ และฝึกอย่างไร
“เอ๋? เยี่ยนจิ่วเฉาละ?” อวี๋หวั่นหยิบตำราอายุวัฒนะเดินออกจากห้อง เธอคิดว่าจะตามหาเขา แต่ครั้นเดินไปถึงสวนดอกไม้ ก็มีร่างอันคุ้นเคยเดินข้ามธรณีประตูออกมาทางเธอ
“อาหวั่น” ซือคงฉางเฟิงเรียก
นัยน์ตาของอวี๋หวั่นกระตุกวูบหนึ่ง แล้วเอ่ยทักทายอย่างรู้มารยาท “ท่านตื่นแล้วหรือ? เป็นอย่างไรบ้าง? มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่?”
แผลของซือคงฉางเฟิงบาดเจ็บหนัก ใบหน้าของเขายังคงซีดเซียวอยู่บ้าง แต่เขากลับส่ายหน้า และพูดอย่างมิได้ใส่ใจว่า “ข้าไม่เป็นไร ข้ามา…”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรเรียกว่าอย่างไร จากนั้นจึงพูดว่า “ข้ามาขอบคุณคุณชายเยี่ยน ท่านพ่อเล่าให้ข้าฟังแล้ว หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเขา ข้าอาจทำเรื่องเลวร้ายลงไปไปแล้ว”
เดิมทีอวี๋หวั่นคิดว่าเขาจะพูดว่า ‘หากครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเขา ข้าคงตายไปแล้ว’ คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่เขาเป็นห่วงกลับไม่ใช่ตัวเขาเอง
ผู้ชายคนนี้ไม่คิดจะสนใจตัวเองบ้างเลยหรือ? เมื่อไรเขาจะเข้าใจสักทีว่าไม่มีใครสำคัญไปกว่าชีวิตของเขาแล้ว
“ข้าผลีผลามเกินไป พวกเจ้าเกือบถูกฆ่าตายเสียแล้ว” ซือคงฉางเฟิงยังคงกล่าวโทษตนเอง
อวี๋หวั่นจึงปลอบเขาว่า “เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก อีกทั้งในตอนนั้นสถานการณ์น่าสิ่วหน้าขวาน ถ้าหากท่านไม่ทำเช่นนั้น อาจมีคนตายเพราะยอดฝีมือสกุลซางมากกว่านี้ก็เป็นได้”
ซือคงฉางเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น เขามองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ใช่สิ ทำไมข้าไม่เห็นคุณชายเยี่ยนเลยเล่า”
อวี๋หวั่นยักไหล่ “ข้าก็กำลังหาเขาอยู่”
“นั่นคือวิชาอายุวัฒนะใช่ไหม?” สายตาของซือคงฉางเฟิงไปหยุดที่ตำราในมือของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นพยักหน้า “อื้ม ท่านอยากอ่านไหม?”
“ไม่ละ ของสำคัญเช่นนี้ ข้าจะมาอ่านสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้” ซือคงฉางเฟิงปฏิเสธ
อวี๋หวั่นส่งตำราอายุวัฒนะไปตรงหน้าเขา “ท่านตาทวดมอบให้ข้าแล้ว มันก็เป็นของข้า ข้าให้ท่านอ่านตามสบาย!”
ซือคงฉางเฟิงก้มหน้าพร้อมกับฝืนยิ้มออกมา “กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้าเคยฝึกวิชาอายุวัฒนะ แต่…ฝึกไม่สำเร็จ”
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน เขาเลี้ยงหนอนพิษได้ดี ทำให้ปรมาจารย์ซือคงดีใจเป็นอย่างมาก จึงถ่ายทอดวิชาอายุวัฒนะให้เขา น่าเสียดายที่เขาไร้ความสามารถ ฝึกไม่สำเร็จ ในตอนนั้นปรมาจารย์บอกเขาว่าวิชาอายุวัฒนะเป็นโชคชะตา แม้ว่าปรมาจารย์ซือคงจะถ่ายทอดวิชาอายุวัฒนะให้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกหลานสกุลซือคงทุกคนจะฝึกได้ และไม่ได้หมายความว่ามีเพียงคนสกุลซือคงเท่านั้นที่จะฝึกสำเร็จ
ความหนักอึ้งในใจของเยี่ยนจิ่วเฉาพลันมลายหายไปทันที เธอกลัวว่าหมอนี่จะกลายเป็นอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ แล้วเดินหลงทางอีก
แท้จริงแล้ว ผู้ที่หลงทางก็คือพวกอาม่านั่นเอง เป็นเยี่ยนจิ่วเฉาที่ตามหาพวกเขาจนพบ ในตอนนั้นพวกเขาเกือบจะเดินทางออกนอกหมิงตูไปกับคาราวานพ่อค้าเสียแล้ว
อวี๋หวั่นถามด้วยความแปลกใจว่า “พวกเจ้าหลงทางได้อย่างไรกัน? ไม่ได้ไปกับท่านยายรองหรอกหรือ?”
ท่านยายรองคุ้นเคยกับหมิงตูเป็นอย่างดี นางไม่มีทางหลงทางได้หรอก
ชิงเหยียนตอบว่า “พวกเข้าพบกับผู้อาวุโสสกุลหลานระหว่างทาง พวกเขารับตัวท่านยายรองกับจื่อเยียนไป เจ้าวางใจเถิด ผู้อาวุโสเหล่านั้นไม่ได้จะจับพวกนางไปขัง พวกเขาต้องการสืบสวนเรื่องของหลานเจียวกับลูกเขยฉินก็เท่านั้น”
“เข้าไปคุยในห้องเถอะ” อวี๋หวั่นพาพวกเขาเข้าไปยังห้องที่เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว
ระหว่างทาง พวกเขาได้รู้ถึงเรื่องราวของเขาหมิงซาน รู้ถึงความสัมพันธ์ของอวี๋หวั่นและปรมาจารย์ซือคง และรู้ว่าสกุลซือคงกำลังตกอยู่ในอันตราย ส่วนเรื่องความทรงจำของเยี่ยนจิ่วเฉานั้น ไม่ต้องรอให้เยี่ยนจิ่วเฉาบอก ทุกคนก็เดาได้
เพราะว่า ถ้าหากเป็นอ๋องแห่งเผ่าปีศาจก็ต้องหลงทางไปแล้ว!
อวี๋หวั่นรินชาให้พวกเขา “ดื่มชาก่อนเถิด พวกเจ้าหายไปหลายวัน ข้ายังเป็นห่วงว่าพวกเจ้าจะถูกคนสกุลซางจับไปซะแล้ว”
ชิงเหยียนดื่มชาคำใหญ่ แล้วยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดปาก “เจ้าอย่าล้อเล่นไป พวกข้าไปสกุลซางมาจริงๆ!”
อวี๋หวั่นตะลึงงัน “พวกเจ้า…ไปสกุลซางมาหรือ?”
ชิงเหยียนนัยน์ตากระตุกวูบหนึ่ง “เหอะๆ ก็…เดินผ่านไปพอดี…”
อวี๋หวั่นพูดตัดบทขึ้นมาว่า “หลงทางไปละสิไม่ว่า!”
เมื่อเทียบกันแล้ว อาเว่ยหลงทางเข้าไปในเขาหมิงซานยังนับว่าน้อยกว่ามาก เจ้าพวกนี้…กลับหลงไปถึงสกุลซาง!
ชิงเหยียนกระแอม “พวก…พวกข้าไม่รู้ว่าเป็นสกุลซาง จึงเดินเข้าไป ก็…เดินเข้าไปในเขตหวงห้ามของสกุลซาง”
ดวงตางามดุจผลซิ่งของอวี๋หวั่นถลึงใส่ “พวกเจ้าเข้าไปในเขตหวงห้ามของสกุลซาง? แล้วพวกเจ้ามีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างไร?!”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ” ชิงเหยียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง พลางมองหน้าอวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉา “พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้ากับชิงเหยียนเห็นอะไรในเขตหวงห้ามของสกุลซาง?”
“อะไรหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
…………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]