ยามเผชิญหน้ากับเจ้าตัวเล็กนี่ ต่อให้ใจแข็งดั่งหินผาเช่นซือคงเย่ก็ยังไม่อาจลงมือ แต่เขาไม่ใช่
ซือคงเย่ขมวดคิ้วลังเลอยู่นาน ส่งสายตาไปทางเยี่ยนจิ่วเฉาที่ยืนอยู่ด้านข้าง เป็นนัยให้เขานำหลัวช่าน้อยออกไป
เยี่ยนจิ่วเฉาทำได้และเต็มใจ แต่เห็นได้ชัดว่าอวี๋หวั่นไม่เห็นด้วยที่จะทำเช่นนั้น
ส่วนใหญ่แล้ว อวี๋หวั่นมักเป็นคนพูดง่าย เคารพการตัดสินใจของเยี่ยนจิ่วเฉา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไร้จุดยืน ในทำนองเดียวกัน เยี่ยนจิ่วเฉาที่ดูเหมือนจะเอาแต่ใจไร้เหตุผล แต่ก็ไม่เคยทำให้อวี๋หวั่นลำบากใจ เขาเอาแต่ใจล้วนเป็นสิ่งที่อวี๋หวั่นไม่สนใจ แต่สิ่งที่อวี๋หวั่นห่วงใย เขาคุ้นเคยกับเธอมาโดยตลอด
ไม่เช่นนั้น พวกเขาทั้งสองก็คงไม่อยู่ที่นี่ในยามนี้
“ท่านตาทวด” อวี๋หวั่นคิดหาหนทางที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย เธอเรียกซือคงเย่ไปด้านข้าง แล้วเหลือบมองหลัวช่าน้อยที่แท้จริงไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หากวรยุทธ์ของราชาหลัวช่าถูกทำลายจนหมดสิ้น เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่?”
ซือคงเย่เหลือบมองเหลนของตน “เจ้าอยากถามว่า หากวรยุทธ์ของราชาหลัวช่าถูกทำลายไปแล้ว เขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ หรือว่า เขาจะยังทำความชั่วต่อไปได้หรือไม่กันแน่?”
อวี๋หวั่นยิ้มขวยเขิน “ถามหมดเลยๆ!”
เด็กหญิงผู้นี้ ช่างประจบสอพลอเก่งเสียจริง ซือคงเย่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ แล้วกล่าวว่า “เขาเปลี่ยนตนเองเป็นราชาหลัวช่าได้ ก็ทะลวงขีดจำกัดไปนานแล้ว แม้วรยุทธ์ของเขาจะหายไป ขอเพียงยังมียาโลหิต ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ส่วนการทำชั่วนั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้”
อวี๋หวั่นอ้าปาก “นั่นก็หมายความว่า…”
ซือคงเย่ยิ้มจางๆ “ข้ายังพูดไม่จบ”
“ท่านว่ามาเลย!” อวี๋หวั่นมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
ซือคงเย่หันมองราชาหลัวช่าที่ล้มลงกับพื้น และกล่าวกับเหลนว่า “ซางชิวหานกับข้าก็นับว่ารู้จักกันมานาน เขาเป็นสหายร่วมศึกษาของข้าอยู่หลายปี จากนั้นเขาก็ไปจากสกุลซาง เราติดต่อกันมากว่าสิบปี จากที่ข้าเข้าใจ เรื่องนี้เกรงว่าจะยากที่จะทำได้”
“เพราะเหตุใด?” อวี๋หวั่นถาม
ซือคงเย่กล่าวต่อ “หรือว่าเจ้าไม่ได้ยินไอ้เด็กสกุลซือคงนั่นกล่าว ซางชิวหานเป็นคนที่หลงใหลในการต่อสู้?”
ไอ้เด็กสกุลซือคง…ท่านหมายถึงประมุขซือคงหรือ?
อวี๋หวั่นมุมปากกระตุก “ก็ได้ยินมาบ้าง”
ซือคงเย่มองไปยังเทือกเขาที่ตกลงไปในตอนกลางคืนและกล่าวว่า “คนที่หลงใหลในการต่อสู้แต่กลับไร้วรยุทธ์ ก็เหมือนนักดนตรีที่ไร้มือ นักเต้นที่ไร้เท้า อึดอัดเสียยิ่งกว่าฆ่าเขาให้ตาย แทนที่จะให้เขาทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ ไม่สู้ปล่อยให้เขาไปสบายเสียดีกว่า”
อวี๋หวั่นเงียบ
ผ่านไปนานเธอถึงกล่าวว่า “แต่เขายังมีหลัวช่าน้อยมิใช่หรือ? เขาต้องดูแลมัน ทุกข์ทรมานที่ใดกัน?”
ซือคงเย่หันมองราชาหลัวช่าที่ทอดสายตามองมาทางนี้ตลอดเวลา “ทุกข์ทรมานหรือไม่ข้าตอบไม่ได้ ไม่สู้เจ้าไปถามเขาเอง หากเขายินยอมให้ข้าทำลายวรยุทธ์ ข้าก็จะไว้ชีวิต”
อวี๋หวั่นไม่จำเป็นต้องถาม แม้เสียงสนทนาของทั้งสองจะแผ่วเบา ทว่าด้วยพลังแห่งหูของราชาหลัวช่า เมื่ออวี๋หวั่นมองเขาชั่วขณะ ก็ราวกับได้คำตอบนั้นจากเขาแล้ว
หลัวช่าน้อยไม่เข้าใจว่าเหตุใดอวี๋หวั่นถึงสบตาราชาหลัวช่าอีกครั้ง มันมองราชาหลัวช่า ดวงตากลมโตสีดำแวววาว เต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและโง่เขลา
“เจ้าไม่คิดถึงตนเอง ก็คิดถึงหลัวช่าน้อย หากเจ้าไม่อยู่ มันจะทำอย่างไร? เดิมทีมีชีวิตอยู่ก็ไม่ง่าย หากเจ้าทิ้งมันไป จะมีผู้ใดดูแลมันอย่างจริงใจ?” อวี๋หวั่นกล่าวจบ ความรู้สึกผิดในใจก็เปล่งคำพูดหนึ่งออกมา ข้าไงๆๆ!
ทว่าสีหน้าไม่ทำให้ราชาหลัวช่าสังเกตเห็นความผิดปกติ ถึงเธอจะสาบานด้วยน้ำใสใจจริง แล้วราชาหลัวช่าจะเชื่อจริงๆ หรือ? คนสกุลซางเขายังไม่เชื่อ นับประสาอะไรกับคนนอกสกุล?
ราชาหลัวช่ามองหลัวช่าน้อย แล้วก็มองซือคงเย่ ขณะที่ภายในใจเกิดสงครามความขัดแย้ง ประมุขซางก็นำกลุ่มยอดฝีมือมา
“ปรมาจารย์!” เขารีบวิ่งไปตรงหน้าราชาหลัวช่าด้วยความตกใจ พยุงเขาลุกขึ้น พลางจ้องไปที่อวี๋หวั่นและคนอื่นๆ “มีข้าอยู่ พวกเจ้าอย่าได้หวังจะทำร้ายปรมาจารย์!”
“ขึ้นอยู่กับเจ้ารึ?” อวี๋หวั่นเหลือบมองเขาและยอดฝีมือที่อยู่ข้างหลังเขา ไม่ใช่เธอโอ้อวด แต่ราชาซิวหลัวระดับสูงเหล่านี้ เยี่ยนจิ่วเฉาเพียงคนเดียวก็สามารถจัดการได้แล้ว ยังมีตาทวดยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง ประมุขซางฮึดฮัด “ตราบใดที่ข้ากล้ามา ข้าย่อมมีเหตุผล!”
พูดจบ เขาก็ดีดนิ้ว เหล่ายอดฝีมือข้างหลังแย่งออกเป็นสองฝั่ง องครักษ์รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงคนหนึ่งเดินเข้ามา ในมือจับสตรีสาวงดงามผู้หนึ่งมาด้วย หากไม่ใช่จื่อเยียนจะเป็นใคร?
ประมุขซางส่งสายตาให้องครักษ์ องครักษ์ถอดผ้าที่ปิดปากของจื่อเยียนออก จื่อเยียนสะอึกสะอื้น “อวี๋หวั่น! พวกเขาจับท่านผู้นำตระกูลไป!!!”
ประมุขซางกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนสกุลซือคง และคนสกุลหลาน เจ้าคงไม่อาจเมินเฉยต่อความเป็นความตายยายรองของเจ้ากระมัง? วันนี้ข้ากับปรมาจารย์ หากมีใครก็ตามที่ไม่อาจกลับถึงสกุลซางตรงเวลา ข้าสัญญาว่า ยายรองของเจ้าได้ตายอย่างอนาถแน่!”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเฉยเมย “ตอนแรกก็ซือคงอวิ๋น ต่อมาก็หลานชิ่น นอกจากข่มขู่คนแล้ว เจ้ายังทำอะไรได้อีก?”
ประมุขซางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝีมือมีไม่มาก แค่มีประโยชน์ก็พอ ข้าให้เวลาพวกเขาหนึ่งก้านธูป ยามนี้ก็ผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว หากเรายังไม่กลับ เกรงว่าจะสายเกินไป แน่นอน เจ้าจะลองเสี่ยงดูก็ได้ ฆ่าเราก่อน แล้วค่อยไปหาหลานชิ่น ไม่รู้ว่า…พวกเจ้าจะทำได้เร็ว หรือคนของข้าจะฆ่าคนได้เร็วกว่า”
ไอ้แก่ไม่ตายดี!
ความอึดอัดรำคาญใจครึ่งค่อนชีวิตของอวี๋หวั่น ถูกใช้ไปกับเขาแล้ว!
คนหนึ่งคนต้องน่ารังเกียจเพียงไหน ถึงสามารถใช้ประโยชน์จากหลานชาย สตรีและเด็กที่ไม่มีความแค้นต่อกันได้ลงคอ? สกุลหลาน…ดูเหมือนไม่ผิดต่อสกุลซางเลยกระมัง? ต่างกล่าวว่าหลัวช่าไม่มีความเป็นมนุษย์ แต่คนที่ทำลายซึ่งสัจจะมโนธรรมจริงๆ อยู่ที่นี่ต่างหาก!
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้ามา จับฝ่ามือที่กำแน่นของอวี๋หวั่นไว้เบาๆ ไม่แม้แต่ปรายตามองประมุขซาง เขากล่าวกับราชาหลัวช่าว่า “คนสกุลหลานไม่เคยถูกข่มขู่ หากนางหลานต้องตาย ก็ตายอย่างสมเกียรติ ยามนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปช่วยนางหลานหรือไม่ แต่เป็นเจ้า ที่จะทิ้งตนเองไปหรือไม่ ลูกของเจ้ามีบุญคุณที่ช่วยชีวิตภรรยาและลูกของข้า หากวันนี้เจ้ายืนกรานจะจากไป ข้าจะสู้ตายเพื่อหยุดท่านตาทวดไว้ แต่หากเจ้าเต็มใจที่จะอยู่ สละทิ้งวรยุทธ์ เรื่องของนางหลานข้าจะหาทางเอง”
อวี๋หวั่นมองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉาด้วยความซาบซึ้ง
เยี่ยนจิ่วเฉากระซิบ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องกับท่านยายหลาน”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “ข้าเชื่อท่าน”
เขาไม่เคยทำให้เธอผิดหวัง เขาบอกว่ามีทาง มันก็ต้องมีทาง ตอนนี้ เป็นทางเลือกของราชาหลัวช่าแล้ว
ราชาหลัวช่ากำหมัดแน่น
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอีกครั้ง “อย่าคิดว่าจากไปแล้ว วันหน้าข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้ ข้ารับปากว่าจะปล่อยเจ้าไปเพียงครั้งเดียว แต่จะไม่ปล่อยเจ้าไปเป็นครั้งที่สอง”
“น้ำเสียงช่างหยิ่งผยองนัก!” ประมุขซางเหยียดหยาม
ในที่สุดราชาหลัวช่าก็เลือกที่จะจากไปพร้อมกับประมุขซาง
หลัวช่าน้อยก็ถูกเขาพาไปด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]