เส้นขอบฟ้ามืดสนิท ราวกับกำลังย่างเข้ายามวิกาล เดิมทีเยี่ยนเสี่ยวซื่อคิดว่าเป็นเพราะสภาพอากาศ เมื่อรู้ว่าที่นี่เป็นยมโลกก็กระจ่างในบัดดล
“ข้าได้ยินว่ายมโลกไม่มีกลางวัน จริงหรือ?” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเอ่ยถามประมุขมาร
ประมุขมารส่ายหน้า “ไม่รู้ ข้าไม่เคยมาที่นี่”
เส้นทางที่พวกเขาเดินทางมาถูกปกคลุมไปด้วยหมอก ทั้งสองฝั่งของพวกเขาถูกขนาบข้างด้วยผืนป่าซึ่งมีหมอกหนาทึบเช่นกัน ตรงกลางเป็นทางเดินแคบและคดเคี้ยวเส้นหนึ่ง แลดูคล้ายกับเป็นเส้นทางที่ตัดผ่านระหว่างหุบเขา
เยี่ยนเสี่ยวซื่อแค่นเสียงขึ้นจมูกแล้วเดินเข้าไป
ประมุขมารเห็นว่านางมีท่าทางไม่ยี่หระ จึงอดถามไม่ได้ว่า “เจ้าไม่กลัวหรือ?”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อหันหลังกลับมามองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ก็มีเจ้าอยู่ด้วย จะกลัวทำไมเล่า”
ประมุขมารชะงักงันไปชั่วขณะหนึ่ง
เยี่ยนเสี่ยวซื่อคลี่ยิ้ม “เจ้าเอาชนะได้แม้กระทั่งประมุขศักดิ์สิทธิ์ ยมโลกก็คงมีอยู่เพียงไม่กี่คนหรอกที่เป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้”
ประมุขมารชะงักฝีเท้าในทันใด แล้วมองนางด้วยสีหน้าหวาดระแวงและเคลือบแคลงใจ “เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือว่าข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไว้ที่นี่คนเดียว หรือว่าข้าอาจนัดแนะกับคนร้ายไว้แล้ว เพื่อจับเจ้ากับประมุขศักดิ์สิทธิ์ไปสังหารในยมโลก”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อกะพริบตาปริบๆ “เจ้าทำได้หรือ?”
ประมุขมารส่งสายตาให้นาง
ถ้าคิดจะสังหารพวกเจ้าทั้งสอง เขาคงลงมือไปตั้งแต่ครั้นอยู่ที่หุบเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเข้ามาในยมโลกแล้วค่อยลงมือให้คนเห็นหรอก ทว่าพวกเขาเข้ามาพร้อมกัน หากเหลือกลับไปเพียงคนเดียว เขาจะโยนความผิดพ้นตัวได้อย่างไร
เยี่ยนเสี่ยวซื่อรู้ว่าเขากำลังขู่ตน จึงไม่ได้นำมาใส่ใจ ทั้งสองเดินต่อไปประมาณครึ่งชั่วยาม ทันใดนั้นเยี่ยนเสี่ยวซื่อก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าคิดว่า…เหตุใดคนเหล่านั้นถึงถูกจับไปได้ พวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ไหม?”
ประมุขมารตอบว่า “เหตุใดถึงถูกจับไปนั้นไม่แน่ชัด แต่ว่า…โอกาสรอดของพวกเขามีไม่มาก”
“เพราะอะไรหรือ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อถาม
ประมุขมารมองไปยังหุบเขาเบื้องหน้า พวกเขาอยู่ใกล้กับจุดหมายมากแล้ว “ที่นี่คือยมโลก พลังหยินเข้มข้น หากอยู่ที่นี่นานเกินไปจะกัดกินพลังที่สั่งสมมาและพลังหยาง คนทั่วไปไม่ถึงสิบสองชั่วยามก็ตายแล้ว ส่วนผู้บำเพ็ญเพียร…อาจอยู่ได้นานกว่านั้นสักหน่อย แต่นั่นคือในกรณีที่คนร้ายไม่ได้ทำร้ายพวกเขา หากคนร้ายมีแผนการอื่น เกรงว่าพวกเขาคงไม่รอดแล้ว”
“โอ้” เยี่ยนเสี่ยวซื่อได้ความรู้ใหม่
เมื่อประมุขมารเห็นว่านางไม่ได้มีท่าทีวิตกกังวล จึงถอนหายใจออกมายาวๆ พลางบอกว่า “พวกเรามีเวลาเพียงสิบสองชั่วยาม เมื่อถึงเวลาแล้ว ไม่ว่าจะช่วยได้หรือไม่ พบความจริงหรือไม่ ข้าก็จะพาเจ้าออกมา”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อยกมือขึ้นชี้เขา แล้วชี้มายังตนเอง “พวกเราคงจะไม่เป็นไรกระมัง”
ร่างของประมุขศักดิ์สิทธิ์และประมุขมาร แต่พลังปราณดั้งเดิมในร่างของเยี่ยนเสี่ยวซื่อถูกกดเอาไว้ การอยู่ในยมโลกนานเกินไปย่อมไม่ใช่เรื่องดี
ประมุขมารพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้ามีเวลาเล่นสนุกเป็นเพื่อนเจ้าแค่สิบสองชั่วยาม”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเบ้ปาก “รู้แล้วน่า”
ระหว่างที่สนทนากัน ทั้งสองก็เดินทางมาถึงหุบเขาแห่งนั้น หุบเขาถูกขนาบข้างด้วยหน้าผาสูงชัน ตั้งตระหง่านนับพันเริ่น[1] ล้อมรอบไปด้วยป่าทึบร้างผู้คน
เยี่ยนเสี่ยวซื่อลูบแขน “เสี่ยวเจา เจ้ารู้สึกไหมว่าที่นี่หนาวเหลือเกิน”
ด้วยสภาพร่างกายของประมุขศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้ลงไปอยู่ในบ่อน้ำพันปีอันหนาวเหน็บก็ไม่มีทางรู้สึกหนาว นั่นหมายความว่าบัดนี้ก็เหลือเพียงคำอธิบายเดียว นี่ไม่ใช่ความเย็นเยือกจากน้ำแข็ง หากแต่เป็นพลังหยิน
สายตาของประมุขมารกวาดมองไปคราหนึ่ง มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย และขึ้นไปยืนขวางหน้าเยี่ยนเสี่ยวซื่อไว้ “มีคนมา”
พูดไม่ทันขาดคำ ก็เห็นบุรุษสองคนสวมชุดทางการพุ่งลงมาจากฟ้า ยมทูตใบหน้ารูปเหลี่ยมเอ่ยถามอย่างดุดันว่า “ผู้ใดบุกเข้ามาในยมโลก บอกชื่อเสียงเรียงนามมาบัดเดี๋ยวนี้!”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อยื่นหน้าออกมาจากด้านหลังของประมุขมาร พร้อมกับกระซิบถามว่า “พวกเขาเป็นใครกัน”
“ยมทูต” ประมุขมารตอบ
น้ำเสียงของเขามิได้ระคนความตื่นตระหนกหรือความหวาดกลัวแม้แต่น้อย
ยมทูตเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นของเขา จึงตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง ในเมื่อคนผู้นี้รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร ก็หมายความว่าไม่ได้หลงเข้ามาในยมโลก เรื่องนี้ยอมไม่ได้ ผู้ที่บังอาจบุกเข้ามาในยมโลกจักต้องตาย!
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากัน แล้วพุ่งเข้าใส่ประมุขมาร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]