ทุกคนต่างไม่เห็นด้วยในตอนแรก ทว่าคิดดูแล้ว นางเจียงเป็นสตรีจากเมืองหลวง ได้เห็นโลกกว้าง ได้เรียนหนังสือ เข้าใจความจริงยิ่งกว่าที่พวกเขา นางต้องสามารถเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวใจองค์หญิงผู้แสนป่าเถื่อนผู้นั้นด้วยความเสน่หา และเหตุผลได้อย่างแน่นอน
ทุกคนจึงออกไปรอด้านนอก มีเพียงเถี่ยตั้นน้อยเท่านั้นที่หน้าหนา แนบหูฟังการสนทนาส่วนตัวระหว่างสตรีที่ประตู
ตุบ ตุบ ตุบ!
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!
ปัง ปัง ปัง!
เถี่ยตั้นน้อยสีหน้าสับสน เสียงการเจรจาด้วยเหตุผลของแม่ข้าดังเกินไปหรือไม่นะ…
ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อ ประตูก็เปิดออก
องค์หญิงแห่งซยงหนูมีดวงตาเยี่ยงแพนด้า หัวกระเซิงเยี่ยงรังนก ใบหน้าเขียวปูดบวม ใบหน้าซีดเผือดเยี่ยงคนตาย นางอ้าปาก ไม่ทันเอ่ยสิ่งใดก็อาเจียนออกมา
เถี่ยตั้นน้อยกระโดดหนี “ท่านแม่ ผี!”
เถี่ยตั้นน้อยสะดุ้งหนีไป!
เมื่อคนสกุลอวี๋เห็นก็สูดหายใจเฮือกใหญ่ โอ้สวรรค์นี่มันเกิดอันใดขึ้น? ยาจกทรุดโทรมผู้นี้ ก็คือองค์หญิงผู้สวยสดงดงามเมื่อครู่หรือ?
“องค์…องค์หญิง…” ลุงใหญ่เรียกอย่างไม่แน่ใจ
องค์หญิงแห่งซยงหนูกลับเดินไปด้านหน้าอย่างล่องลอย
ลุงใหญ่ “…”
ป้าใหญ่ “…”
ทุกคน “…”
นางเจียงยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่มีแม้ผมสักเส้นที่ขาด
นางเจียงกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “ข้าบอกนางว่าอย่าคิดมาก”
อย่าคิดที่จะแย่งผู้ชายกับนางให้มาก
“นางก็ไม่ฟัง”
คนสกุลอวี๋ก็เข้าใจในทันที ภาพที่น่าประทับใจขององค์หญิงที่คิดได้ว่าตนเองทำไม่ถูกและสำนึกผิด นางเจียงโน้มน้าวด้วยความรู้สึกและเหตุผล ในที่สุดก็ทำให้องค์หญิงที่หลงมัวเมาตื่นขึ้นและตระหนักถึงความผิด หลังจากสำนึกได้ในความผิด องค์หญิงก็รู้สึกละอายใจและกระแทกกำแพง นางเจียงเกลี้ยกล่อมนางไม่ให้คิดมาก ทว่านางก็ไม่ฟัง…
ฮึ!
“ว่าแต่ นางเป็นองค์หญิงของตำหนักใดรึ?” ลุงใหญ่ถามด้วยความสงสัย หลังจากทำงานในเมืองหลวงมาหลายปี รู้เรื่องราวมาบ้าง ทว่าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับองค์หญิงที่ยโสโอหังเช่นนี้
“องค์หญิงแห่งซยงหนู” อวี๋หวั่นเอ่ยตอบลุงใหญ่ หลังพูดจบ เธอก็นึกถึงประโยคที่มารดาเพิ่งเอ่ยไปเมื่อครู่ได้ ‘พวกเราในจงหยวนเจรจาด้วยเหตุผล’ ยามนั้นไม่ได้รู้สึก ยามกลับมาคิดอีกครา แม่ของเธอต้องรู้ว่าองค์หญิงมาจากซยงหนูจึงเอ่ยเช่นนั้นได้มิใช่หรือ? เพียงแต่ไม่รู้ว่าแม่ของเธอดูออกได้อย่างไร
กินอาหารค่ำที่บ้านของตนเอง อวี๋เซ่าชิงรับหน้าที่เป็นพ่อครัว ทำผัดผักกวางตุ้งฮ่องเต้เห็ดหอม แกงเต้าเจี้ยว มันฝรั่งทอด ยำฟองเต้าหู้ แกงเห็ดรวม เถี่ยตั้นน้อยตะโกนว่าอยากกินไข่ อวี๋เซ่าชิงจึงทำไข่ผัดพริกหยวกให้อีกจาน
“เหตุใดจึงล้วนแต่เป็นผัก?” อวี๋หวั่นถามด้วยความงงงวยขณะที่มองไปบนโต๊ะอาหาร
อวี๋เซ่าชิงกระแอมเบาๆ “ช่วงนี้แม่ของเจ้ากินเนื้อสัตว์มากเกินไป จึงอารมณ์ไม่ค่อยดี”
อวี๋หวั่น ‘คิดมากเกินไปหรือเปล่า? ทำไมรู้สึกว่า ‘เนื้อ’ คำนี้แตกต่างจากที่ฉันเข้าใจนะ…’
“ซู้ด~” เถี่ยตั้นน้อยยกถ้วยซดแกงเห็ดรวมร้อนๆ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ชายแดน อวี๋เซ่าชิงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะมีชีวิตกลับมาอีกครั้ง ยามมองภรรยาผู้แสนอ่อนโยนของเขา พร้อมทั้งบุตรสาวบุตรชายที่ประพฤติตัวดี อวี๋เซ่าชิงก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
เถี่ยตั้นน้อยก็มีความสุขเช่นกัน เขายังเด็กและไม่สามารถบอกได้ว่าใครดีอย่างไร ทว่ายามบิดาของเขากลับบ้านมา เด็กที่โตกว่าเขาเหล่านั้นก็ไม่กล้ารังแกเขาแล้ว!
อวี๋หวั่นไม่เคยคิดว่าเธอจะมายังโลกอื่นและได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับพ่อแม่ที่อยู่ข้างกาย เธอสนุกและหวงแหนช่วงเวลาที่แสนงดงามตรงหน้า
จู่ๆ เธอก็นึกถึงเยี่ยนจิ่วเฉาและเด็กจ้ำม่ำทั้งสามขึ้นมา ไม่รู้ทำไม กลับรู้สึกโดดเดี่ยวแทนพวกเขา
หลังพลบค่ำครอบครัวของเธอก็หลับไป ทว่าอวี๋หวั่นนอนอยู่บนเตียงและไม่อาจหลับได้ลง ภาพของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ สามคนและเยี่ยนจิ่วเฉายังคงอยู่ในใจของเธอ ดูเหมือนว่าผ่านมานานถึงเพียงนี้ เธอยังไม่ได้ให้สิ่งใดที่จริงจังกับพวกเขาเลยนอกจากอาหาร
ในเมื่อตนได้รับความเมตตามากมายจากเยี่ยนจิ่วเฉา ก็ควรจะให้ของขวัญตอบแทนกลับไป
ยามความคิดสว่างวาบ อวี๋หวั่นก็ยกผ้าห่มขึ้นและลุกออกจากเตียง เธอตัดสินใจที่จะทำรองเท้าให้กับเยี่ยนจิ่วเฉาและเด็กน้อยทั้งสาม เธอเคยคิดจะทำเสื้อผ้าทว่ามันก็ซับซ้อนเกินไป เข็มกับด้ายเธอไม่ถนัด
เมื่อคิดว่าจะทำก็ทำในทันที อวี๋หวั่นหากระดาษและพู่กัน กะประมาณขนาดและวาดแบบรองเท้าสองชุด ชุดหนึ่งสำหรับเยี่ยนจิ่วเฉา อีกชุดสำหรับเด็กน้อยทั้งสาม หลังจากถอดแบบรองเท้าแล้ว เธอก็พลิกผ้าฝ้ายที่อยู่ด้านล่างของกล่องและตัดออกมาตามแบบ
ต่อมาก็พับผ้าฝ้ายเหล่านี้เข้าด้วยกัน แล้วห่อด้วยผ้าขาวเป็นพื้นผ้ารองเท้า จากนั้นจึงนำมาซ้อนกันและเย็บให้แน่น ซึ่งโดยทั่วไปเรียกว่าพื้นรองเท้า หากต้องการพื้นรองเท้าที่แข็งแรงพอ ต้องทุ่มเทกับพื้นผ้ารองเท้า โดยปกติแล้วจะมีการทาแป้งเปียกหนึ่งชั้น รอจนแป้งเปียกแห้ง พื้นผ้ารองเท้าก็จะแข็งตัว
พื้นผ้ารองเท้าสามารถแห้งได้ด้วยลม ทว่าเธอร้อนใจ จึงจุดเตาอั้งโล่เพื่อทำให้แห้ง
เธอไม่เคยทำรองเท้ามาก่อน เธอได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ยามไปช่วยป้าใหญ่ทำงาน และไม่รู้ว่าตนเรียนมาถูกต้องหรือไม่
เถี่ยตั้นน้อยหลับอยู่บนเตียง เมื่ออวี๋หวั่นเห็นว่าเขากำลังนอนหลับสนิท จึงทำให้ตะเกียงสว่างขึ้นอีกเล็กน้อย
คนทั่วไปใช้พื้นรองเท้าเพียงสามหรือห้าชั้นเท่านั้น อวี๋หวั่นใช้สิบกว่าชั้นในคราวเดียว มันหนาเกินไป เช่นนี้เธอก็ยังคิดว่ามันไม่เพียงพอ จึงเพิ่มไปอีกชั้นอย่างเงียบๆ
ว่ากันว่าการเย็บพื้นรองเท้าเป็นงานหนัก ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของอวี๋หวั่น พื้นรองเท้าทั้งสี่คู่ก็เสร็จได้ก่อนเที่ยงคืน
ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสาม ถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อยบนเก้าอี้ อวี๋หวั่นมองเช่นนี้แล้วก็รู้สึกพึงใจเล็กน้อย เธอไม่รู้จริงๆ ว่าตนพึงใจกับสิ่งใด
หลังจากนั้นก็ทำส่วนบนของรองเท้า อวี๋หวั่นเลือกผ้าฝ้ายทอลายทแยงสีดำสำหรับเยี่ยนจิ่วเฉา พื้นผิวค่อนข้างคล้ายกับผ้ากากีในโลกก่อน ผ้าชนิดนี้ทนต่อความสกปรกและการสึกหรอได้ดี ส่วนของเด็กๆ ทำจากเศษผ้าที่นำมาต่อกัน รูปแบบที่ได้ออกมาเช่นนี้จะดูดีกว่าสีพื้นเรียบๆ
อวี๋หวั่นนั่งทำรองเท้า ไม่รู้ตัวว่าเวลาผ่านมาค่อนคืนแล้ว เธอขยี้ตาที่งัวเงีย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแปลกๆ มาจากทางเข้าหมู่บ้าน
เสียงการเคลื่อนไหวไม่ดังนัก บ้านของเธออยู่ห่างจากทางเข้าหมู่บ้านมากที่สุด ตามเหตุผลแล้วคงไม่ได้ยิน ทว่าช่วงนี้หูตาของเธอดีขึ้นมาก
เสียงนั้นค่อยๆ ดังเข้ามาใกล้บ้านของเธอ เธอค่อยๆ ดึงกริชใต้หมอนออกมา และคลุมรองเท้าที่ทำได้เพียงครึ่งหนึ่งบนเก้าอี้ด้วยผ้าฝ้าย
เธอปิดตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ
แกร็ก ช่องหน้าต่างถูกงัดออก ร่างสีฟ้าปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว อวี๋หวั่นง้างกริชและแทงอีกฝ่ายอย่างดุเดือด!
ทันทีที่อีกฝ่ายเปิดหน้าต่าง ก็ได้กลิ่นตะเกียงน้ำมัน จึงรับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเพิ่งดับ และคล้ายกับรู้ตัวว่าเขากำลังจะมา แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสังเกตเห็นได้อย่างไร ทว่าเขาก็ตอบสนองในทันที เพียงแต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อนก็คือ เขาทำให้อีกฝ่ายลอบโจมตีได้สำเร็จด้วยฝีมือของตนเอง!
เส้นไหมสีน้ำเงินถูกตัดออก ที่คอของเขาเกิดรอยบาดแผลเล็กๆ
รอยแผลเล็กๆ ไม่มีผลอะไรกับผู้ที่ฝึกวิชาการต่อสู้ ทว่าหากเป็นหญิงสาวชนบทคนหนึ่งที่ฝากรอยไว้กับนักดาบมือหนึ่งของใต้หล้า นั่นไม่อาจถูกเพิกเฉยได้
“ข้าเอง!” อวี้จื่อกุยกดเสียงต่ำ ทว่าก็ไม่ยากเกินไปที่จะได้ยินความอับอายและความโกรธที่ซ่อนอยู่
อวี๋หวั่นเองก็เดาว่าเป็นเขา ผู้ที่แอบมางัดหน้าต่างบ้านเธอกลางดึก นอกจากแขก ‘ต่ำช้า’ ผู้นี้แล้วยังมีผู้ใดได้อีก?
“เจ้ามาดูว่าข้าตายหรือยังรึ?” อวี๋หวั่นถามเบาๆ
ภายในห้องไม่มีโคมไฟ กลับมีเพียงแสงจันทร์เย็นที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้ามา ดวงตาของอวี้จื่อกุยตกกระทบบนดวงหน้าแสนเย็นชา เอ่ยด้วยน้ำเสียงในลำคอ “หลังจากที่เจ้าตกหน้าผา ข้าก็รีบไปตามหาเจ้าที่ด้านล่างของหน้าผาทันที ขณะที่ข้ายังไม่พบเจ้า ศิษย์พี่ของข้าก็ปรากฏตัวขึ้น เขาก็มาตามหาถุงผ้าเช่นกัน ข้ากลัวว่าเขาจะสงสัยเจ้า ข้าจึงแยกเขาออกไป”
เป็นคำพูดที่น่าประทับใจ ทว่าอวี๋หวั่นกลับมิได้มีสีหน้าที่แสดงถึงความประทับใจ “เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ข้าฟังมากเช่นนี้หรอก เจ้าจะเคยตามหาข้าหรือไม่ และเคยทำสิ่งใดให้ข้า ข้าไม่สนใจ แต่สุดท้ายทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบใจเจ้า”
อวี้จื่อกุยไม่อาจโต้กลับได้
วันนี้อวี๋หวั่นยุ่งมาก หากไม่ใช่เพราะอวี้จื่อกุยกลับมา เธอก็เกือบลืมของที่ไป๋ถัง ‘คืน’ ให้เธอในคราก่อน ที่เคยคิดว่าจะเอาไปให้เยี่ยนจิ่วเฉาดูก็เกือบลืมไปเสียแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]