แปะ
หนอนกู่ไหมแดนหิมะในมือของอวี๋หวั่นร่วงลง
“เจ้าพูดอีกทีซิ เจ้าเป็นอะไรนะ?” อวี๋หวั่นมองเขาครู่ใหญ่
ความปรารถนาอันแรงกล้าในดวงตาที่ยากจะปกปิดของเธอทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสงสัย แต่ในเมื่อมันเป็นค่าหมอที่เธอขอ เขาก็ทำได้เพียงจำใจกล่าวออกไป
“ข้าเป็นพ่อมด” เขากล่าว
ช่างเหมือนการย่ำรองเท้าเหล็กจนสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย นี่ยังไม่ได้ออกจากประเทศมรกต ก็ได้พบพ่อมดเสียแล้ว
อวี๋หวั่นหรี่ตา “เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าเป็นพ่อมด? หากเจ้ากล้าโกหก ข้าจะใส่หนอนกู่ที่ดุร้ายกว่าหนอนกู่ไหมสวรรค์แดนหิมะอีกเป็นร้อยชนิดในในตัวเจ้า!”
เด็กหนุ่มหวาดกลัวคำขู่ของเธอจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน เขาคิดว่าเธอเป็นสตรีที่อ่อนโยนและจิตใจดี แต่กลับกลายเป็นว่าน่ากลัวกว่าไอ้พวกสารเลวพวกนั้นเสียอีก!
แต่เขาไม่ได้โกหก เขาเป็นพ่อมดจริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ถูกคนพวกนั้นไล่ล่า
“นี่เป็นคำสั่งของอาจารย์พ่อมดของข้า ไม่เชื่อเจ้าก็ดู!” เด็กหนุ่มดึงป้ายเหล็กนิลประกายดำอันเย็นเยือกออกจากแขนเสื้อ ตรงกลางแผ่นป้ายมีศิลาพ่อมดขนาดเล็กฝังอยู่
อวี๋หวั่นรับคำสั่งพ่อมดมาดูด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นคนของเผ่าพ่อมดหรือ?”
เด็กหนุ่มส่ายหัว “อาจารย์ของข้าเป็น”
อวี๋หวั่นจำที่อาม่าบอกได้ การสืบทอดของเผ่าพ่อมดไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายเลือด กล่าวคือ คนของเผ่าพ่อมดมิใช่เป็นพ่อมดได้ทุกคน และพ่อมดก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนของเผ่าพ่อมด
พ่อมดดียิ่งนัก แต่น่าเสียดาย สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่น้ำตาจากพ่อมดทั่วไป แต่เป็นน้ำตาของราชาพ่อมด
“คนที่ตามไล่ล่าเจ้าเป็นใคร?” อวี๋หวั่นถาม
“พวกเขาเป็นคนของเผ่าศักดิ์สิทธิ์” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
“เผ่าศักดิ์สิทธิ์?” เธอก็คิดว่าทายาทกลุ่มสุดท้ายของเผ่าศักดิ์สิทธิ์คือสกุลหลาน ดูเหมือนชนเผ่านี้จะไม่ได้ถูกทำลายไปเมื่อหลายพันปีก่อน แต่ยังคงสืบสายเลือดต่อมาในที่ที่ห่างไกล การค้นพบเรื่องนี้ทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะหากเผ่าศักดิ์สิทธิ์สืบทอดต่อมา เช่นนั้นความเป็นไปที่เผ่าพ่อมดจะยังอยู่ก็มีมากกว่าที่คิด “เหตุใดคนของสตรีศักดิ์สิทธิ์ถึงต้องการจับตัวเจ้า?” อวี๋หวั่นลูบคางเอ่ยถาม
เด็กหนุ่มกล่าวดูถูก “หึ สองชนเผ่าไม่ถูกกันเช่นน้ำกับไฟมานับพันปี คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์จับพ่อมดมีสิ่งใดน่าประหลาดใจ? พ่อมดแห่งประเทศมรกตถูกคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์จับไปเกือบหมดแล้ว”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “ผู้นำประเทศมรกตของพวกเจ้าไม่จัดการหรือ?”
เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็น “ฮองเฮาของเขาก็เป็นคนของเผ่าศักดิ์สิทธิ์!”
ตั้งแต่สมัยอดีต ผู้กล้าก็ยากจะฝ่าด่านหญิงงามแล้ว อวี๋หวั่นเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะเบาๆ สองสามครั้ง “คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์มีเยอะหรือไม่? มีเพียงไม่กี่คนหรือว่า…”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างหดหู่ “หากมีไม่มากก็คงไม่รีบฆ่าพวกเราชาวพ่อมด ในปีแรกๆ ก็ไม่ได้รุนแรงเช่นนี้ ตั้งแต่คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ได้ขึ้นเป็นฮองเฮา สถานะของพ่อมดแห่งประเทศมรกตก็ตกต่ำลงอย่างมาก ต่างบอกว่าเราเป็นพวกหมอผีเจ้าเล่ห์หลอกลวง ต้องจับพวกเราเข้าคุก อย่าปล่อยให้พวกเราโกหกหลอกลวง!”
“เช่นนั้นพวกเจ้าโกหกหลอกลวงหรือไม่?” อวี๋หวั่นกล่าว
“แน่นอนว่าไม่!” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างร้อนรน “อาจารย์ของข้าเคยกล่าวไว้ว่า เราใช้เวทเพื่อประโยชน์ของชาวบ้าน ไม่ใช่เพื่อทำร้ายพวกเขา หากผู้ใดใช้คาถาทำความชั่วให้ปรมาจารย์รู้ จะถูกลงโทษตามกฎแน่นอน”
อวี๋หวั่นกล่าวต่อ “เช่นนั้นอาจารย์ของเจ้าอยู่ที่ใด?”
“เขาตายไปแล้ว เขาตายในคุก” เสียงของเด็กหนุ่มทุ้มต่ำลง กลิ่นอายโศกเศร้าปกคลุมทั่วร่างของเขา “เขาทำเพื่อให้ข้าหนีไป จึงไปหลอกล่อคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ผลคือเขาถูกจับเข้าคุก จนกระทั่งข้าคิดที่จะบุกเข้าไปช่วยเขาออกมา ข้าก็ได้ข่าวการตายของเขา”
“หลังจากนั้น เจ้าก็ตัดสินใจขึ้นเรือลำนี้หนีออกมาหรือ?” อวี๋หวั่นมองมาที่เขา
เด็กหนุ่มทั้งพยักหน้า ทั้งส่ายหัว “ข้าเคยคิดจะหนี ข้าได้ยินมาว่ามีที่หนึ่ง…เป็นอาณาจักรเผ่าพ่อมด ที่นั่นไม่มีสตรีศักดิ์สิทธิ์ พ่อมดจะไม่ถูกข่มเหงรังแก ข้าอยากพาพวกศิษย์พี่ออกมาด้วย ผลคือถูกจับระหว่างทาง มีเพียงข้าคนเดียวที่หนีออกมาได้ ข้าขึ้นเรือลำนี้ เดิมทีคิดจะไปช่วยพวกเขา ไม่นึกว่าจะถูกคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์จับตามอง”
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ช่างเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนจริงๆ”
เด็กหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้จมอยู่กับความเศร้าโศกนานเกินไป เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบมองอวี๋หวั่นด้วยสีหน้าซับซ้อน “เหล่านายเรือของเรือลำนี้สงวนคำพูดกับพวกเจ้ามาก พวกเจ้ามีสถานะเช่นไรกัน?”
“เรื่องนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” อวี๋หวั่นกล่าวอย่างใจเย็น
ดวงตาของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นประกายเฉียบแหลมในชั่วพริบตา “เจ้าถามเกี่ยวกับเผ่าพ่อมดมากมายเช่นนี้ เจ้าก็ต้องการไปที่นั่นใช่หรือไม่?”
เจ้าเด็กนี่จริงๆ แล้วก็ไม่โง่
เด็กหนุ่มใช้โอกาสตักตวงผลประโยชน์ “ข้ารู้จักที่ ข้าพาเจ้าไปได้ แต่ข้ามีข้อแม้”
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้ม “เจ้ารู้ แล้วข้าไม่รู้รึ? จำเป็นต้องให้เจ้าพาไปหรือ?”
เด็กหนุ่มหัวเราะเย้ยหยัน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาณาเขตของเผ่าพ่อมดไม่ได้ปล่อยให้ผู้ใดเข้าไปก็ได้?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” อวี๋หวั่นถาม
เด็กหนุ่มเชิดคางขึ้นกล่าว “หากไม่มีพ่อมดไปกับพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะเข้าไปไม่ได้”
อวี๋หวั่นแย้มยิ้มอีกครั้ง “ล่ามเจ้าไว้ก็ได้แล้วมิใช่รึ?”
เด็กหนุ่มไม่คิดว่าเธอจะกล่าวเช่นนี้ มุมปากเขากระตุกอย่างรุนแรง “ข้าเป็นเพียงพ่อมดน้อยระดับเสวียน คุณสมบัติเท่านี้ยังไม่อาจมอง แต่ศิษย์น้องของข้าแตกต่างไป เขามีพรสวรรค์และชาญฉลาด ได้รับการสืบทอดวิชาจากอาจารย์ข้า และกลายเป็นพ่อมดใหญ่ระดับตี้ หากมีเขาอยู่ โอกาสที่จะได้เข้าไปยังเผ่าพ่อมดก็จะยิ่งมีมากขึ้น”
อวี๋หวั่นยิ้มอย่างแผ่วเบา “พูดไปพูดมา ก็ชักจะอยากช่วยเจ้าพาศิษย์น้องของเจ้าออกมาแล้วสิ”
เด็กหนุ่มปัดความถือตัวและเย่อหยิ่งบนหน้าออกไป แล้วยกมือคำนับด้วยความเคารพ “หากเจ้ายินดีช่วยเรา เราจะตอบแทนดั่งสายธาร!”
อวี๋หวั่นยังไม่รีบตอบตกลง เธอไปที่ห้องของอาม่า เล่าสิ่งที่เด็กหนุ่มบอกให้อาม่าฟังและนำคำสั่งพ่อมดให้เขาดู
“ป้ายแผ่นนี้เป็นของจริง” อาม่าพยักหน้า
“แล้วที่เขาพูดละ จริงหรือไม่? หากไม่มีพ่อมดใหญ่อยู่กับเรา เราก็ไม่สามารถแม้แต่จะเข้าไปในอาณาเขตของเผ่าพ่อมดได้?”
“เกรงว่าจะเป็นจริง” อาม่ากล่าว ระหว่างที่เดินทางมา เขาอ่านคัมภีร์โบราณเกี่ยวกับเผ่าพ่อมดมากมาย ยิ่งอ่านก็ยิ่งพบว่าการเดินทางไปเผ่าพ่อมดนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด หากมีพ่อมดสองสามคนร่วมเดินทางไปด้วย สำหรับพวกเขาก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่เลวร้ายเลย
อวี๋หวั่นทอดถอนใจ “ในเมื่ออาม่ากล่าวเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าจำต้องทำอะไรสักอย่าง”
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น อวี๋หวั่นได้ยกเรื่องการช่วยชีวิตเข้าสู่วาระการประชุม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]