ไม่ดูก็คงไม่รู้ แต่ดูแล้วก็ตกใจ เด็กหนุ่มรูปงามผู้นี้มีเนตรหยินหยาง!!!
“เนตรหยินหยาง!” เสียงของผู้โดยสารเรือวัยกลางคน ผู้มีรูปร่างดั่งชายอกสามศอก ตกใจจนเสียงเปลี่ยน เขาโซเซถอยหลังไปหลายก้าว ก้นกระแทกกับราวกั้น หากไม่ใช่เพราะมีคนข้างๆ คว้าตัวได้ทันเวลา ก็คงตกไปในทะเลอีกคนแล้ว
บุรุษอ้วนท้วนบึกบึนเช่นนี้หวาดกลัวจนหมดรูป ผู้โดยสารเรือที่เหลือยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง ทั้งหมดมองไปที่เด็กหนุ่มเปียกปอนบนดาดฟ้าด้วยความหวาดกลัวราวกับเห็นโรคระบาด ทุกคนต่างถอยห่างออกไป
คนที่ยังอยู่ที่เดิมไม่ขยับ นอกจากอวี๋หวั่น ก็คืออิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน
ทั้งสามเห็นปฏิกิริยาของเหล่าผู้โดยสารเรือ ต่างก็มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ แล้วก็มองไปที่เด็กหนุ่มเปียกปอนอีกครั้ง
เด็กหนุ่มดูเหมือนพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาไม่น้อย แม้ถูกผู้คนต่อต้านขับออกจากกลุ่ม เปลือกตาก็ไม่กระดิกแม้แต่น้อย กลับเป็นท่าทีและสีหน้าที่สงบนิ่งของอวี๋หวั่น อิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน ที่ทำให้เขาแอบรู้สึกประหลาดใจ
“อื้ม” อวี๋หวั่นคุกเข่าลงข้างหนึ่ง เชยคางขึ้นมองเขา ดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีเหลืองอำพัน อีกข้างเป็นสีฟ้า นี่เป็นดวงตาที่ทำให้เหล่าผู้โดยสารเรือตกใจขวัญหนีดีฝ่ออย่างนั้นหรือ?
แต่อวี๋หวั่นกลับรู้สึกว่า ดวงตาคู่นี้ดูดีไม่น้อยเลย
“แม่นาง! อย่ามองมัน! นั่นคือเนตรหยินหยาง! หากมองมากเกินไปจะตาบอด!” ชายชราเตือน อวี๋หวั่นด้วยความหวังดี
อวี๋หวั่นหันตัวกลับมา “จะตาบอดหรือ?”
“ใช่ จะตาบอด! อย่ามองนะ! รีบออกมาเถอะ!” ชายล่ำอีกคนโน้มน้าว
พวกเขาก็สงสัยว่าผู้ใดตกน้ำ หากรู้ว่าเป็นผู้มีเนตรหยินหยางแต่แรก ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรก็ไม่มีทางออกมาชมความตื่นเต้นเป็นแน่
จะว่าไปแล้ว คนพวกนี้ดูเหมือนเป็นแขกชั้นสูงบนเรือ นายเรือทั้งสามสุภาพกับพวกเขายิ่งนัก หากไม่เช่นนั้น บัดนี้เกรงว่าคงออกมาตำหนิพวกเขาที่ยุ่งเรื่องชาวบ้านมาช่วยคนเนตรหยินหยางแล้ว
ผู้โดยสารเรือแยกย้ายกันไปทีละคน
แม้เด็กหนุ่มจะชินชากับเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ก็มิใช่ใจจะสงบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกอวี๋หวั่นจ้องมองอย่างไม่เขินอาย ยิ่งทำให้ใบหูของเขาร้อนผ่าวเป็นสีแดง
เขาดวงตาสั่นไหว ปกปิดความอึดอัดและกระอักกระอ่วนภายในใจ หันหน้าหนี และกล่าวเสียงขรึม “พวกเจ้ายังไม่ไปอีกหรือ?”
อิ่งลิ่วกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้านี่! พวกเราช่วยเจ้าไว้! เหตุใดยังพูดเช่นนี้กับฮูหยินของข้า?”
“ผู้ใดขอให้เจ้าช่วยกันละ?” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
โอ้ ยังเป็นเม่นแคระอีกด้วย
อวี๋หวั่นลูบคาง หันมองเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เขาอึดอัดกับสายตาของอวี๋หวั่น จึงหันหนีไปด้านข้างอีกเล็กน้อย
อวี๋หวั่นเหลือบมองทิศที่เด็กหนุ่มมา “พวกคนเมื่อครู่จับเจ้าเพราะสิ่งนี้รึ?”
เด็กหนุ่มเข้าใจดีว่า ‘สิ่งนี้’ ที่อวี๋หวั่นกล่าวถึงคืออะไร เขาหลุบตาลง กล่าวเสียงค่อย “ไม่ใช่”
น้ำเสียงที่ใช้กับอวี๋หวั่น ไม่ก้าวร้าวเช่นยามที่พูดกับอิ่งลิ่ว
อวี๋หวั่นส่งเสียงอ้อ แต่ก็ไม่ได้คิดจะจากไปทันที
เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นผู้ใดที่ยินดีอยู่อยู่ข้างกายผู้มีเนตรหยินหยางนานเช่นนี้ เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอวี๋หวั่น
เมื่อถึงตรุษจีนอวี๋หวั่นก็อายุครบสิบแปด ทว่าใบหน้ากลับยังดูอ่อนเยาว์ราวสิบห้า ผิวขาวอมชมพูไม่ต้องกล่าวถึง ใบหน้าเล็กๆ ยังเต็มไปด้วยไขมันของเด็กน้อย ละเอียดอ่อนงดงามราวกับภาพวาด บุคลิกสงบนิ่งไม่ยินดียินร้ายเหมือนบทกวี เธอตั้งท้องได้เกือบหกเดือนแล้ว ผู้คนยังยากที่จะสังเกตเห็นท้องของเธอ
ทันทีที่มองเห็นท้องของเธอ ดวงตาของเด็กหนุ่มก็เบิกกว้างในทันใด
เขาทำตาโตเช่นนี้ ยิ่งมองเห็นดวงตาได้ชัดเจน
ช่างสวยงามยิ่งนัก… อวี๋หวั่นลอบถอนใจ
“พวกเจ้าไม่ใช่คนประเทศมรกตหรือ?” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างกะทันหัน
“หือ?” อวี๋หวั่นจมอยู่ในดวงตาคู่สวยของเขา ไม่ได้ยินว่าเขาพูดสิ่งใด
เด็กหนุ่มกวาดตามองร่างของอิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน “พวกเจ้าไม่ใช่คนประเทศมรกต”
หากกล่าวว่าวาจาก่อนหน้านี้ยังมีความไม่แน่ใจอยู่บ้าง เช่นนั้นครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นน้ำเสียงที่แน่ใจแล้ว
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” อวี๋หวั่นถาม
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าก็คิดอยู่ว่า เหตุใดถึงยังมีคนประเทศมรกตที่ไม่กลัวข้า”
“นี่ไม่ใช่เนตรหยินหยาง” อวี๋หวั่นชี้ไปที่ดวงตาของเขา “เป็นดวงตาประหลาด เรียกอีกอย่างว่าดวงตาสองสี ไม่เกี่ยวอะไรกับการทำให้ผู้อื่นตาบอด เจ้าเองก็คงรู้เรื่องนี้ดีกระมัง?”
เด็กหนุ่มเงียบงัน
เขารู้แล้วอย่างไร? จะมีผู้ใดเชื่อเขา?
ระหว่างทางมายังประเทศมรกต อิ่งลิ่วทำการบ้านมาไม่น้อย เขาเคยได้ยินเรื่องเนตรหยินหยางมาบ้าง เขาก้มลงกระซิบข้างหูอวี๋หวั่นว่า “ว่ากันว่าผู้มีเนตรหยินหยางเกิดมาโชคร้าย อาจนำความโชคร้ายมาสู่ตระกูล มีชะตากรรมเช่นเดียวกับดวงดาวโดดเดี่ยวของจงหยวน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวี๋หวั่นพยักหน้า หากเป็นเช่นนี้ ท่าทีของผู้โดยสารบนเรือก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนเธอไม่เชื่อเรื่องน่าขันไร้ที่มาเช่นนี้ นึกถึงท่านแม่ในยามนั้นที่มีชะตากรรมดวงดาวโดดเดี่ยว ถูกบังคับให้ไปจากหนานจ้าว เติบโตขึ้นมาโดยลำพังไร้ที่พึ่งพิงในสถานที่เช่นเผ่าปีศาจ แม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มผู้นี้ แต่คิดแล้วก็คงไม่ง่ายเลย
อวี๋หวั่นมองดูเด็กหนุ่มด้วยสายตาลึกล้ำ เมื่อเห็นว่าเขาไม่บอกสาเหตุที่ตนถูกไล่ล่า อวี๋หวั่นก็เลิกบีบบังคับเขา เธอยืนขึ้นกล่าวกับอิ่งสือซันและอิ่งลิ่วว่า “พวกเจ้าไม่ต้องอยู่เฝ้าข้าที่นี่หรอก ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นกับข้า พวกเจ้ารีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องเถอะ”
ทั้งสองลงไปในทะเล เสื้อผ้าเปียกชุ่ม แม้ว่าอากาศกลางทะเลจะร้อน แต่เนื้อตัวที่เปียกแฉะก็ทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างน่าประหลาด
“ตรงนี้ข้ามีผิงเอ๋อร์ พวกเจ้าไปเถอะ” อวี๋หวั่นกล่าว
ทั้งสองลังเลไม่ขยับ ขณะนี้เอง เยี่ยนจิ่วเฉาก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางสบายๆ
“คุณชาย!” อิ่งลิ่วหันกลับมาคำนับ
อิ่งสือซันก็คำนับเช่นกัน “คุณชาย”
“อื้ม” เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้าเบาๆ “เกิดอะไรขึ้น?”
อิ่งลิ่วกล่าว “มีคนตกน้ำ พวกเราคิดว่าเป็นฮูหยิน จึงกระโดดลงไปช่วยขึ้นมาขอรับ”
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองเด็กหนุ่ม เมื่อเห็นดวงตาสองสีคู่นั้น ก็ไม่ได้แสดงสีหน้ามากนัก
“คุณชาย” ผิงเอ๋อร์ก็ทำความเคารพเช่นกัน
สายตาของเยี่ยนจิ่วเฉาตกกระทบลงบนใบหน้าของอวี๋หวั่น “อวี๋อาหวั่น เจ้าตากแดดจนดำหมดแล้ว”
“หา? จริงหรือ?” อวี๋หวั่นแตะแก้มของตนอย่างร้อนรน
ผิงเอ๋อร์บ่นในใจ ดำที่ใดกัน? ฮูหยินยังขาวนวลผุดผ่องอยู่เลย?
แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่ในเมื่อคุณชายกล่าวแล้ว ผิงเอ๋อร์ก็กางร่มบังแดดให้อวี๋หวั่นทันที
“ไม่ต้องกางแล้ว ข้าจะกลับห้อง!” อวี๋หวั่นไม่อยากอาบแดดจนหลายเป็นสตรีอ้วนดำ!
อวี๋หวั่นจับมือเยี่ยนจิ่วเฉากลับไปที่ห้องอย่างเร่งรีบ
ยามที่เดินผ่านเด็กหนุ่ม เขาเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนจิ่วเฉา
นั่นเป็นใบหน้าที่ไม่มีผู้ใดจะลืมได้ลงอย่างแน่นอน ทว่าเย็นชาเกินไปสักหน่อย คล้ายกับภูเขาน้ำแข็งมหึมาที่คอยคุ้มกันอยู่ด้านหลังสาวอ้วนผู้นั้น
ไม่นานหลังจากที่ทั้งคู่จากไป ผิงเอ๋อร์ อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันก็กลับไปที่ห้องของพวกเขา
บนดาดฟ้าที่ร้อนระอุ เหลือเพียงเด็กหนุ่มผู้เดียว ห่างไปไม่ไกลนัก มีผู้โดยสารเรือใจกล้าสองสามคนมองมาทางนี้ด้วยความสงสัย เด็กหนุ่มไม่สนใจพวกเขาและลุกขึ้นยืน
เขาเดินไปทางซ้าย แต่ทันใดนั้นก็เห็นกลุ่มคนที่ต้องการจะจับตัวเขา ฝีก้าวพลันหยุดชะงัก เขากำหมัด ถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างอ่อนแรง คนกลุ่มนั้นอยู่ในเงามืด ค่อยๆ ย่างกรายเข้าหาเขาอย่างหาเรื่อง
เขากลืนน้ำลาย เหลือบมองด้วยความบังเอิญ เห็นผ้าเช็ดหน้าที่ตกอยู่กับพื้นข้างๆ
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รวบรวมความกล้าวิ่งไปยังทางที่พวกอวี๋หวั่นเดินจากไป
ห้องของพวกอวี๋หวั่นนั้นอยู่แยกจากห้องพักของผู้โดยสาร มีผู้คุมที่นายเรือทั้งสามจัดเตรียมไว้คอยเฝ้าอยู่ เมื่อเด็กหนุ่มมาถึงพร้อมกับผ้าเช็ดหน้า ผู้คุมสองคนก็กันเขาไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]