หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 479

อวี๋หวั่นเดินไปยังห้องของอาม่า มู่ถิงศิษย์พี่ของมู่ชิง รวมไปถึงศิษย์น้องโจวจิ่นล้วนแต่รออยู่ในห้องของอาม่าและชุยเฒ่าเพื่อคอยดูแลความเรียบร้อย แม้ว่าโจวอวี่เยี่ยนจะเป็นคนป่วย ทว่าบุรุษและสตรีไม่ควรใกล้ชิดกันเกินสมควร นางจึงถูกพาตัวเข้าไปในห้องของผิงเอ๋อร์

อวี๋หวั่นกลับไปยังห้องของตน มู่ชิงสาวเท้าตามเข้าไป “ฮูหยินน้อยเยี่ยน!”

“หืม?” อวี๋หวั่นชะงักฝีเท้า หันหลังกลับมามอง

ในตอนนั้น เรือเริ่มเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ลมทะเลโบกพัด ผมดำขลับและเสื้อผ้าของอวี๋หวั่นปลิวไหวตามแรงลม

มู่ชิงตื่นตระหนกไปชั่วขณะ เขาไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินอวี๋หวั่นแต่อย่างใด เขาเพียงแต่ตกตะลึงในความงามสง่าของอวี๋หวั่น ไหนเลยจะมีคนที่กินจนอ้วนท้วน แต่ยังสง่างามได้เช่นนี้?

“มีอะไรหรือ?” อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ

“อ่า…” มู่ชิงตั้งสติได้ ดวงตาเป็นประกายกะพริบปริบๆ แล้วพูดว่า “พวกท่านกำลังตามหาราชาพ่อมดอยู่หรือ?”

“อืม” อวี๋หวั่นไม่ได้ปฏิเสธ

มู่ชิงถามว่า “พวกท่านตามหาราชาพ่อมดไปทำไมหรือ?”

อวี๋หวั่นตอบว่า “นี่เป็นเรื่องของพวกข้า พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้มากถึงเพียงนั้น นอกจากนั้นแล้วราชาพ่อมดมีจริงหรือไม่ ข้าจะไม่โทษเจ้า ขอเพียงเจ้าพาพวกข้าไปก็พอ”

มู่ชิงมีสีหน้าจริงจัง “ข้าเคยพบกับคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ บนร่างของเจ้ามีกลิ่นอายของคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ท่านบอกว่าท่านไม่ใช่ปรมาจารย์พิษ และไม่ใช่สตรีพิษ แต่ท่านก็รอบรู้เรื่องยาพิษเป็นอย่างดี ท่าน…ท่านคือสตรีศักดิ์สิทธิ์หรือ?”

อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “เรื่องนี่…คล้ายกับว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าเช่นกัน”

มู่ชิงกำหมัดแน่น “ข้ามีเนตรหยินหยางโดยกำเนิด ถูกรังแกมาโดยตลอด หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ ข้าคงนอนอดตายข้างถนนไปนานแล้ว อาจารย์ของข้าถูกคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์สังหาร เพราะฉะนั้นถ้าหากท่านเป็นคนเผ่าศักดิ์สิทธิ์ละก็…” มู่ชิงพูดมาถึงตรงนี้ก็มิได้พูดต่อ

อวี๋หวั่นมองเขาด้วยสายตาขบขัน “ถ้าหากข้าก็เป็นคนของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ เจ้าคิดจะทำอย่างไร? สังหารข้าหรือ? หรือว่าจะพาศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักหนีข้าไป? เจ้าลงมือสังหารข้าได้หรือ? หรือว่าเจ้าหนีไปได้จริงๆ ?”

คำพูดซึ่งปราศจากความเดือดเนื้อร้อนใจทำให้มู่ชิงต้องชะงักไป

อวี๋หวั่นพูดได้ถูกต้อง พวกเขามีกันสี่คน หมดสติไปสามคน แม้ว่าเขาจะเป็นพ่อมด แต่คนกลุ่มนี้ดูแล้วยากที่จะต่อกรด้วย ลำพังเขาคนเดียวย่อมไร้หนทางรอด

อวี๋หวั่นยิ้ม “ถ้าเจ้าจะหนี ข้าก็จะไม่ห้าม แต่ข้าขอเตือนเจ้าไว้อย่างหนึ่ง รอบตัวของเจ้าล้วนเป็นทะเล หากเจ้าจะหนี เจ้าก็หนีไปคนเดียว ไม่ต้องพาอีกสามคนไปให้เป็นภาระ!”

มู่ชิงตกใจจนตาแดงก่ำ “ข้าไม่เคยบอกว่าข้าจะหนี! ข้าแค่อยากรู้ที่มาที่ไปของพวกท่าน อีกทั้งจุดประสงค์ในการตามหาราชาพ่อมดของพวกท่าน…”

อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “เจ้าเคยได้ยินไหมว่าความอยากรู้อยากเห็นเป็นภัยแก่ตัว? สิ่งที่เจ้าควรรู้ ข้าจะบอกเจ้าเอง ที่ข้าไม่บอก ก็เพราะเจ้าไม่รู้ย่อมดีที่สุด”

เด็กหนุ่มหลุบตาลง

ท่าทางของเด็กคนนี้ดูราวกับกำลังโศกเศร้าเหลือเกิน อวี๋หวั่นไม่อ่อนข้อให้ผู้ที่มีท่าทีแข็งกร้าว เขามีท่าทางดุดัน ต่อปากต่อคำกับเธอ เธอควรจะตอบโต้กลับ ทว่าในตอนนี้เธอรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังรังแกเด็กน้อยคนหนึ่งเสียมากกว่า

อวี๋หวั่นถอนหายใจ “เอาเถอะๆ ไม่ต้องเศร้าไป ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อพวกเจ้าและราชาพ่อมด ต่อให้ไปถึงเผ่าพ่อมดแล้วข้าก็จะไม่คิดเปิดศึก”

มู่ชิงเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มสดใสซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหนุ่มสาววัยแรกแย้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

อวี๋หวั่นพลันอารมณ์ดีขึ้นทันใด เธอเกือบยื่นมือออกไปลูบศีรษะของเขาด้วยความเอ็นดู “แบบนี้สิถึงคุยกันรู้เรื่อง เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”

……

สายฝนกระหน่ำลงเหนือพื้นน้ำตอนกลางดึก วันถัดมาฟ้าเปิด อากาศแจ่มใส คลื่นลมสงบ

มู่ถิง ศิษย์พี่ของมู่ชิงเป็นคนแรกที่ฟื้นขึ้นมา ยามที่เขาลืมตาตื่น ก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย ห้องนั้นโคลงไปมา เสียงของคลื่นลอยเข้าโสตประสาท เขาตกใจจนกระโดดโหยง โชคดีที่มู่ชิงคอยเฝ้าอยู่ข้างกาย

“ศิษย์พี่ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” มู่ชิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคย มู่ถิงก็หันหน้ามามอง เขามองมู่ชิงด้วยใบหน้าสับสน “เจ้ากลับมาได้อย่างไร เจ้าหนีออกมาหรือ?”

มู่ชิงยิ้มน้อยๆ “ศิษย์พี่ ท่านลองดูอีกครั้ง นี่ไม่ใช่คุกของเผ่าศักดิ์สิทธิ์”

มู่ถิงได้ยินดังนั้น จึงมองไปรอบๆ อีกครั้ง ในห้องมีแสงรำไรซึ่งเล็ดลอดผ่านรอยแยกของหน้าต่างเข้ามาบนพื้นชื้นแฉะ เขาเดินเข้าไปเปิดหน้าต่าง แสงสว่างวาบส่องเข้ามา ทำให้แสบตาเสียจนต้องยกมือขึ้นมาบัง

เสียงคลื่นนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อปรับสายตากับแสงได้แล้ว เขาจึงมองออกไป และพบว่าเป็นผืนทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาชะงักไปครู่หนึ่ง “ชิงเอ๋อร์ ที่นี่คือ…”

มู่ชิงยิ้มกว้าง ตอบว่า “พวกเราอยู่บนเรือขอรับ อีกสองวันก็จะออกจากเขตทะเลของประเทศมรกตแล้ว”

มู่ชิงขมวดคิ้ว “ข้าไม่เข้าใจ ชิงเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ศิษย์น้องกับศิษย์น้องหญิงเล่า? พวกเขาอยู่ที่ไหน”

มู่ชิงรินชาผักคาวทองให้เขาถ้วยหนึ่ง “ศิษย์พี่วางใจเถิด พวกเขาก็อยู่บนเรือ ข้าตื่นก่อน ศิษย์น้องหญิงกับศิษย์น้องเล็กอยู่ห้องข้าง ท่านกินอะไรสักหน่อย อีกประเดี๋ยวข้าจะพาท่านไปหาพวกเขา”

“อ้อ” มู่ถิงยังคงมึนงงอยู่บ้าง เขาเดินไปสองสามก้าว แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ยกชาขึ้นมาดื่มหนึ่งคำ ทว่าเขากลับต้องบ้วนออกมา “ชาอะไรกันนี่? รสชาติย่ำแย่เหลือเกิน!

มู่ชิงหัวเราะจนตัวโยน!

คำแรกนั้นเขาต้องกล้ำกลืนฝืนใจดื่มเข้าไป ทว่าหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายสบายขึ้น แม้แต่ลำคอซึ่งก่อนหน้านี้รู้สึกแห้งผาก ก็ไม่เป็นไรแล้ว

“เป็นของดีขอรับ ศิษย์พี่ดื่มเถิด” มู่ชิงบอก

มู่ถิงดื่มต่อไป เขายกมือขึ้นปิดจมูก แล้วดื่มชาจนหมด

มู่ชิงส่งขนมจานหนึ่งให้เขา

นั่นเป็นขนมทอดกรอบประเภทต่างๆ แต่ละอย่างทำเป็นชิ้นเล็กพอดีคำ สีเหลืองทองน่ากิน ส่งกลิ่นหอมยั่วยวน

มู่ถิงกลืนน้ำลาย มู่ชิงจึงพยักเพยิดให้เขาลองชิม

ครั้นสำนักยังไม่ล่มสลาย พวกเขานับว่ามีอาหารอุดมสมบูรณ์ มีเสื้อผ้าอาภรณ์พรั่งพร้อม ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยลิ้มลองขนมที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน ทันทีที่กัดเข้าไป ความกรอบและนุ่มผสานกับรสหวานของไส้นั้นช่างลงตัว ไม่หวานจนเลี่ยน มู่ถิงรู้สึกประหนึ่งตนเองกำลังจะลอยขึ้นสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น

“นี่คืออะไรหรือ?” เขาเอ่ยหยิบขนมชนิดอื่นกิน

“ขนมมันปูกรอบ” มู่ชิงตอบ “เป็นขนมของจงหยวน พ่อครัวบนเรือนเรียนมาจากชาวจงหยวน ทำได้ดีทีเดียวขอรับ

มู่ชิงมีสีหน้าขึงขัง “ศิษย์พี่ขอรับ ข้าตอบตกลงพวกเขาไปแล้ว ข้าจะผิดสัญญาไม่ได้”

โครกคราก~

โจวอวี่เยี่ยนยังไม่ทันได้ตอบอะไร ท้องก็ร้องออกมา

ประจวบเหมาะกับในตอนนั้นเอง ผิงเอ๋อร์ก็ยกขนมเข้ามา นอกจากขนมมันปูเมื่อเช้าแล้ว ยังมีขนมอีกสองชนิดที่เพิ่งขึ้นจากเตา กลิ่นหอมจรุงไปทั่วห้อง

“แม่นางโจว ค่อยๆ กิน” ผิงเอ๋อร์ยกขนมเข้ามาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็หันหลังออกไป

โจวอวี่เยี่ยนเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของอาจารย์ของมู่ชิง เป็นคุณหนูของสำนัก ชีวิตความเป็นอยู่ของนางดีกว่าไปมู่ชิงและมู่ถิงมาก เดิมทีคิดว่าของเหล่านี้จะกินไม่ได้ ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่ชิมไปคำแรก ก็อร่อยจนน้ำตาแทบไหลออกมา

นางตกใจจนอ้าปากค้าง “นี่…นี่มันเรืออะไรกัน ถึงทำของอร่อยเช่นนี้ได้”

มู่ชิงยิ้มตาหยี “เป็นขนมที่ฮูหยินน้อยเยี่ยนสอนพ่อครัวทำ”

โจวอวี่เยี่ยนสังเกตเห็นว่า ยามที่ศิษย์น้องของตนเอ่ยถึงสตรีคนนั้น ดวงตาของเขาเป็นประกาย แต่ไหนแต่ไรมา คนเดียวที่ทำให้เขามีสีหน้าเช่นนี้ได้ก็คือนาง

“ทำไม ศิษย์น้องชื่นชอบฮูหยินน้อยเยี่ยนมากเลยหรือ?” โจวอวี่เยี่ยนเอ่ยถามด้วยความริษยา

มู่ชิงตอบว่า ‘อื้ม’ อย่างเปิดเผย “ฮูหยินเยี่ยนทั้งงามทั้งจิตใจดี เป็นสตรีที่งามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา! น่าเสียดายที่นางแต่งงานแล้ว มิเช่นนั้นข้าคงต้องชอบนางมากๆ เป็นแน่!”

ความอยากอาหารของโจวอวี่เยี่ยนหมดไปทันใด นางเขวี้ยงขนมลงกับพื้น!

ตั้งแต่ที่มู่ชิงและคนอื่นๆ ขึ้นมาอยู่บนเรือ คนจากเผ่าศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาโยนทิ้งไว้บนเกาะครั้นพวกเขาแวะเติมเสบียงแล้ว บนเรือไม่มีอันตราย แม้แต่มู่ชิงเองก็ใจกล้าขึ้นมาก

แม้ว่าจะเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แต่อย่างน้อยก็ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ มู่ถิงจึงไปขอบคุณเยี่ยนจิ่วเฉา

และอวี๋หวั่น

ศิษย์พี่คนนี้ของมู่ชิงคบค้าสมาคมด้วยไม่ยาก

ที่ยากก็คือศิษย์พี่หญิงคนนั้น

อาจเป็นเพราะนางเป็นคุณหนู ถูกเลี้ยงอย่างประคบประหงมเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็ก ตราบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจแก้ไขนิสัยเจ้าอารมณ์ นางเริ่มจากไม่พอใจเสื้อผ้าที่ตนเองใส่ อวี๋หวั่นจึงให้ผิงเอ๋อร์นำเสื้อผ้าของเธอไปแก้ให้เล็กลง แล้วนำไปให้นาง จากนั้นก็หงุดหงิดกับที่พัก คิดว่าตนเองเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ ไม่ควรอยู่ร่วมห้องกับสาวใช้

ผิงเอ๋อร์ทำใจดีสู้เสือเข้าไปรายงานเรื่องนี้กับอวี๋หวั่น

คุณหนูอะไรนี่เรื่องเยอะเหลือเกิน ฮูหยินน้อยต้องโกรธมากเป็นแน่ ฮูหยินน้อยกำลังท้องกำลังไส้ โกรธขึ้นมาอาจมีผลต่อทารกในครรภ์

อวี๋หวั่นกลับไม่ได้โกรธง่ายถึงเพียงนั้น เธอนอนอยู่บนดาดฟ้าเรือ อาบแดดอย่างสบายอารมณ์ เธอบอกกับผิงเอ๋อร์ว่า “เจ้าไปถามดูสักหน่อยว่ามีแขกบนเรือคนไหนยินดียกห้องให้นางบ้าง ราคาสามารถต่อรองได้”

“เจ้าค่ะ” ผิงเอ๋อร์ตอบรับ

สุดท้ายแล้ว พวกเขาจำต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกสิบเท่าเพื่อเช่าห้องของแขกคนหนึ่ง

…………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]