ทว่าขณะที่กำลังย้ายของ โจวอวี่เยี่ยนก็กลับคำ “ห้องนั้นไกลเกินไป ข้าไม่ย้าย ยกห้องของพวกเขาสองคนให้ข้า! ข้าจะอยู่ห้องของพวกเขา!”
อิ่งลิ่วมุมปากกระตุก
อิ่งสือซันเหลือบมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ผิงเอ๋อร์นึกในใจว่า แย่แล้ว ดันไปล่วงเกินองครักษ์ของคุณชายกับฮูหยินน้อย ฮูหยินต้องสั่งฆ่านางเป็นแน่!
อวี๋หวั่นยิ้ม “ได้ ทำอย่างที่เจ้าต้องการ”
โจวอวี่เยี่ยนได้ย้ายเข้าไปอยู่ในห้องที่ตนปรารถนาสมใจ
ขณะที่มู่ชิงและศิษย์พี่เก็บห้องให้นาง เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่หญิงนี่น้า ท่านทำตามความเหมาะสมก็พอนะขอรับ อย่ามากเกินไป”
โจวอวี่เยี่ยนแค่นเสียงขึ้นจมูก “ข้าทำมากเกินไปตรงไหนกัน? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ห้องสามสี่ห้องนั้นถึงเป็นห้องที่แสงส่องดีที่สุด ห้องที่ซื้อมาจากแขกคนนั้นเป็นห้องชั้นรอง เอาห้องโกโรโกโสพรรค์นั้นมาให้ข้า คิดว่าข้าเป็นขอทานหรืออย่างไร?”
“สภาพของพวกเราตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับขอทาน…” มู่ชิงพึมพำ
มู่ถิงส่งสายตาให้เขา บอกเป็นนัยว่าให้สงบปากสงบคำเสีย อย่าได้ทำให้โจวอวี่เยี่ยนโมโห
ที่พวกเขามีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะอาจารย์เก็บพวกเขามาเลี้ยง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาจารย์ต้องตายไปก็เพราะมู่ชิงนำพามา เมื่อพิจารณาจากทั้งความรู้สึกและเหตุแล้ว พวกเขาควรจะดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของอาจารย์ให้ดีที่สุด
“เฮ้อ” มู่ชิงถอนหายใจอย่างจนปัญญา
มู่ถิงตบไหล่ของเขา พร้อมกับกระซิบว่า “ศิษย์น้องอย่าได้กังวลใจไป พวกเราและพวกเขาเดิมทีก็มีข้อตกลงซึ่งกันและกัน ไม่ได้ติดหนี้บุญคุณพวกเขา ยิ่งพวกเขายอมจ่ายเงินมากเท่าใด ย่อมหมายความหมายความว่าพวกเขามีแผนการที่ร้ายกาจมากเท่านั้น พวกเราใช้ชีวิตเดิมพัน นำทางให้พวกเขา ให้ศิษย์น้องหญิงได้ใช้ชีวิตสบายสักหน่อยแล้วอย่างไร? มีอะไรเสียหายหรือ?”
มู่ชิงรู้สึกว่าศิษย์พี่ของเขากล่าวได้ถูกต้อง แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแปลก “ศิษย์พี่ พวกเขา…ไม่เหมือนกับคนข้างนอก”
มู่ถิงไม่เห็นด้วย “มีอะไรไม่เหมือน? เพียงเพราะพวกเขาไม่ได้ตกใจกลัวเนตรหยินหยางของเจ้า เจ้าจึงไว้ใจพวกเขาหรือ? เจ้าอย่าลืมว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับพวกเขาก็เป็นเพียงข้อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เมื่อใดที่พวกเราหมดประโยชน์แล้ว เจ้าก็รอดูเองแล้วกันว่าพวกเขาจะยังสนใจพวกเราอยู่ไหม”
มู่ชิงอ้าปากพะงาบคล้ายกับจะพูด
มู่ถิงจึงพูดตัดบทขึ้นมาว่า “เอาเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าเพียงเตือนตัวเองไว้เสมอว่าพวกข้าเป็นคนที่เจ้าสนิทที่สุด เจ้ากับศิษย์น้องเล็กอย่าได้เชื่อใจใครง่ายๆ นอกจากข้ากับศิษย์พี่หญิง”
“อ้อ” มู่ชิงพยักหน้าหงึก
ตกกลางคืน อวี๋หวั่นเรียกมู่ชิงไปยังห้องของอาม่าและชุยเฒ่า
อวี๋หวั่นพูดอย่างเปิดเผยว่า “ศิษย์น้องของเจ้ายังไม่ตื่น น่าจะเป็นเพราะพิษเข้าไปกระตุ้นพลังของพ่อมด วิธีเดียวที่จะทำให้เขาฟื้นขึ้นได้ก็คือต้องกำจัดพลังพ่อมดในร่างของเขาออกไป เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่ามีวิธีกำจัดพลังนี้อย่างไร”
เดิมทีอวี๋หวั่นคิดว่าเมื่อถึงเผ่าพ่อมดแล้ว ค่อยหาคนช่วยกำจัดพลังให้เด็กคนนี้ แต่หากเขานอนไม่ฟื้นสักที เกรงว่าพวกเขาคงเข้าไปในเขตของเผ่าพ่อมดไม่ได้ด้วยซ้ำ
มู่ชิงครุ่นคิด แล้วตอบว่า “ถ้าหากข้าจำไม่ผิด พลังพ่อมดนี้มาจากพ่อมดใหญ่คนหนึ่ง ต้องตามหาพ่อมดที่มีระดับเท่ากัน จึงจะสามารถคลายผนึกพลังในร่างของเขาได้”
อวี๋หวั่นทำจ้องเขม็ง “อะไรนะ? เจ้าหมายความว่า พ่อมดระดับตี้เท่านั้นจึงจะคลายผนึกพลังของเขาได้ เช่นนั้นเขาจะยังเป็นราชาพ่อมดอยู่ไหม?”
มู่ชิงรีบอธิบายว่า “ศิษย์น้องของข้ายินดีที่จะถูกผนึกพลังด้วยตนเอง เพราะฉะนั้น ต่อให้ระดับพลังของอีกฝ่ายด้อยว่าเขา ก็ย่อมไม่ใช่ปัญหา”
ความหมายก็คือ ระดับพลังของศิษย์น้องของเขาอาจเหนือกว่าอีกฝ่าย ทว่าหากจะเอ่ยถึงราชาพ่อมด ก็ออกจะไม่สมเหตุสมผลไปสักหน่อย…
“จะหาพ่อมดระดับเทียนได้จากไหนหรือ?” อวี๋หวั่นโบกพัดช้าๆ
“บนเกาะที่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ขังนักโทษ” มู่ชิงตอบ
“ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้” อวี๋หวั่นโวยขึ้นทันใด!
มู่ชิงสัมผัสได้ถึงโทสะของอวี๋หวั่นโดยไม่ทันตั้งตัว เขาตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง “ก็ข้าไม่รู้นี่ พวกท่านไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะตามหาราชาพ่อมด! ทั้งยังสงสัยว่าศิษย์น้องของข้าเป็นราชาพ่อมดอีก…”
อวี๋หวั่นโบกพัดเร็วขึ้น “เจ้าตัวเล็กนั่นถูกผนึกพลัง ทำให้มีพลังของพ่อมดระดับตี้ ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะเป็นราชาพ่อมด หรือว่า…จะหันหัวเรือกลับ?”
“ไม่จำเป็น” มู่ถิงเดินเข้ามา
อวี๋หวั่น มู่ชิง และอาม่าซึ่งอยู่ในห้องหันไปมองเขาทันใด เขาอายุมากกว่ามู่ชิงสามปี องคาพยพบนใบหน้าเป็นผู้ใหญ่ รูปร่างสูง ท่าทางสง่าผ่าเผย นับว่าเขาเป็นบุรุษรูปงามในประเทศมรกต
เพียงแต่ว่า พวกเขาเห็นความงามของเยี่ยนจิ่วเฉาจนชิน บุรุษรูปงามอย่างมู่ถิงย่อมมิได้เข้าตาพวกเขาเท่าไร
สีหน้าของพวกเขาเรียบเฉย
มู่ถิงกระแอม แล้วกล่าวว่า “ข้ากับอาจารย์เคยออกทะเลมาก่อน รู้ว่าแถวนี้มีเกาะร้างแห่งหนึ่ง ว่ากันว่าบนเกาะมี พ่อมดระดับเทียนคนหนึ่ง หากหาเขาพบ ก็จะสามารถกำจัดผนึกพลังในร่างของศิษย์น้องเล็กได้”
“ข้อมูลนี้เชื่อถือได้หรือไม่?” มู่ชิงถาม
มู่ถิงตอบว่า “ข้าฟังอาจารย์เล่า อาจารย์ฟังคนอื่นมาอีกที”
“อ่า…” มู่ชิงพูดไม่ออก
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “ถ้าหากมีพ่อมดใหญ่อยู่จริง ทำไมเผ่าศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นไปจับพวกเขาเลยละ”
มู่ถิงมีสีหน้าจริงจัง “พลังของพ่อมดระดับเทียนนั้นเหนือกว่าที่พวกเราจินตนาการได้ ไม่มียอดฝีมือคนใดจับเขาได้”
“เช่นนั้นหรือ?” อวี๋หวั่นเก็บพัด เธอลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปยังประตู
มู่ถิงถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ฮูหยินน้อยเยี่ยนจะไปไหนหรือ”
อวี๋หวั่นชี้ไปยังผืนน้ำ “เจ้าบอกว่าแถวนี้มีเกาะร้างไม่ใช่หรือ? ข้าจะไปเตรียมตัวลงจากเรือ”
“จะ…จะไปจริงหรือ?” มู่ถิงตกใจ
อวี๋หวั่นยักไหล่ “ถ้าไม่ไป แล้วเจ้าจะบอกข้าทำไม พูดเล่นอย่างนั้นหรือ?”
มู่ถิงตอบด้วยความอับอายว่า “ข้าปากไวไปหน่อย แต่ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะอันตรายไปสักหน่อย ฮูหยินน้อยเยี่ยนไม่รู้วาบนเกาะมีคนของเผ่าศักดิ์สิทธิ์จับตาดูอยู่หรือไม่ แต่ผู้ที่ไปเยือนเกาะแห่งนั้นล้วนแต่ไม่มีผู้ใดกลับมา นานวันเข้า ก็ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าไป ที่อาจารย์เล่าให้ข้าฟังก็เพื่อเตือนข้าว่าหากวันใดพบเกาะร้างแห่งนี้ ให้รีบหนีไปให้ไกล”
อวี๋หวั่นคล้ายกับจะเข้าใจ “เช่นนั้นก็ยิ่งต้องไป”
มู่ถิง “…”
“สือซัน เสี่ยวลิ่ว คุณชายของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน” อวี๋หวั่นเดินออกไปอย่างไม่รีบร้อน
เรื่องจอดเรือ เป็นอวี๋เซ่าชิงที่ไปเจรจากับนายเรือใหญ่
“จจจ…เจ้าบอกว่าเกาะอะไรนะ?” นายเรือใหญ่กำลังสัปหงก เมื่อได้ยินคำพูดของอวี๋เซ่าชิง ตกใจจนลุกพรวดขึ้นมา!
อวี๋เซ่าชิงพูดด้วยความเกรงใจว่า “เกาะร้าง อีกประเดี๋ยวก็ถึงแล้ว ข้าอยากขอให้นายเรือใหญ่ช่วยจอดเรือสักหน่อย พวกข้าจะได้ขึ้นไปทำธุระบนเกาะ ไม่เสียเวลาท่านมากหรอก ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็จะมาขึ้นเรือตามเวลาที่กำหนด”
“เป็นไปได้อย่างไร…” นายเรือใหญ่ยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าด้านหลังของตนถูกบิด เจ็บจนกระโดดโหยง ถามว่าออกมา “ไม่ได้หรือ?”
“โอ๊ยๆๆๆ” นายเรือใหญ่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
“เช่นนั้น นายเรือใหญ่ก็ตกลงแล้ว?” อวี๋เซ่าชิงยกมือขึ้นประสานกัน “นายเรือใหญ่ใจกว้างยิ่งนัก! ข้าขอคำนับ!”
เขาพูดไปพลางตบไหล่นายเรือใหญ่เบาๆ “นายเรือใหญ่ ท่านตกลงแล้วนะ! ข้าว่าท่านน่าจะอายุมากกว่าข้า เพราะฉะนั้นข้าจะเรียกท่านว่าพี่ใหญ่!”
“ไม่หรอก ไม่หรอก…” นายเรือใหญ่น้ำตาไหลพรากด้วยความซาบ(ชอก)ซึ้ง(ช้ำ)
นายเรือทั้งสามเดินทางอยู่กลางทะเลมานานหลายปี พายุลมฝนประเภทใดล้วนแต่เคยผ่านมาหมด แต่กลับไม่กล้าเข้าใกล้เกาะแห่งนี้สักครั้ง ไม่ใช่เพราะตำนานที่เล่าขนาน หากแต่เป็นเพราะพี่ใหญ่ของพวกเขาเคยเข้าไปในเกาะนี้
สุดท้ายพวกเขาก็ไม่กลับมา
พวกเขาส่งคนออกตามหา แต่ก็ไร้ผล หากจะมีสิ่งใดที่น่ากลัวกว่าสตรีคนนั้น ก็เห็นจะเป็นเกาะร้างแห่งนี้นี่เอง
ตอนเที่ยงพอดิบพอดี พวกเขานำเรือเข้าเทียบท่าที่เกาะ นายเรือทั้งสามไม่กล้านำเรือเข้าใกล้ชายฝั่งมากเกินไป จึงนำเรือเล็กลงมาให้พวกเขานั่งเข้าไป
บนเกาะมีกลิ่นอายของหนอนพิษรุนแรง อวี๋หวั่นก้าวขึ้นบนเรือเล็ก
เธอเงยหน้าขึ้น แล้วบอกกับมู่ชิงว่า “มู่ชิง เจ้ากับศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้ารออยู่บนเรือ อิ่งลิ่วเจ้าก็ด้วย”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]