มารดาภูติผีไปตามหาผู้พิพากษาเพื่อดูว่าผู้พิพากษาสังหารบุรุษทั้งสองคนและได้อาวุธวิเศษมาแล้วหรือยัง ผู้บำเพ็ญมารจึงหันหลังเข้าเรือนไป
เรือนหลังนี้มองจากภายนอกอาจไม่ใหญ่ แต่เมื่อเข้าไปแล้วกลับมีห้องมืดเย็นเฉียบเพิ่มมาอีกหลายห้อง แต่ละห้องขังคนไว้ หรือไม่ก็เป็นร่างไร้วิญญาณที่ยังไม่ทันถูกกำจัดทิ้ง
ผู้บำเพ็ญมารมายังหน้าห้องสุดท้าย หยุดชะงักอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“เจ้าเวรตะไล! อย่าคิดจะลอบทำร้ายข้าเชียวนะ! ข้าไม่ใช่คนที่เศษเดนอย่างเจ้าจะมาทำร้ายได้!”
เสียงแข็งตวาดลั่นดังออกมา เป็นผู้เฒ่าขั้นไท่ซวีผู้นั้นนั่นเอง
ผู้บำเพ็ญมารลงแรงไปมากกว่าจะจับมาได้ ทั้งยังได้บาดแผลกลับมาอีกไม่น้อย อาการบาดเจ็บของเขาไม่นับว่าสาหัสสากรรจ์ แต่กว่าจะหายดีได้นั้นแสนลำบาก ผู้เฒ่าขั้นไท่ซวีกระดูกแข็งหนังหนา หากจะจัดการเสียตอนนี้เห็นทีจะยาก ผู้บำเพ็ญมารจึงตัดสินใจลงมืออีกครั้งเมื่อเขาอยู่ในยมโลกแล้วอ่อนแอลง
ผู้บำเพ็ญมารมิได้กลัวว่าผู้เฒ่าจะตายไปเช่นนี้ อย่างไรเสียระดับพลังของผู้เฒ่าก็สูงส่ง ยังคงทุรนทุรายรอไปได้อีกนาน
ส่วนบรรดาลูกศิษย์ของนิกายศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่คุ้นชินกับกลิ่นอายยมโลก พวกเขาใกล้จะไม่ไหวแล้ว
เขาต้องอาศัยโอกาสก่อนที่คนเหล่านั้นจะหมดลม ดูดซับพลังหยางของพวกเขาเสีย
ผู้บำเพ็ญมารหันหลังไป และเดินมายังห้องที่สอง ลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์สามคนล้วนถูกขังอยูู่ในนั้น
แกร็ก ประตูห้องถูกเปิดออก ลำแสงสลัวเล็ดลอดเข้ามา ส่องลงบนอาภรณ์สีฟ้าอ่อนบนร่างของลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม พวกเขาร่างกายอ่อนแอจนเป็นลมหมดสติไป
ผู้บำเพ็ญมารเดินมาตรงหน้าของทั้งสาม นั่งยองลง มือข้างหนึ่งบีบคอหนึ่งในลูกศิษย์นิกายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ขณะที่กำลังจะดูดพลังหยางจากในร่างของเขานั้นเอง ขลุ่ยยาวสีทองเลาหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจู่โจมผู้บำเพ็ญมารจากด้านหลัง
ผู้บำเพ็ญมารถูกพลังรุนแรงกระแทกจนกระดอนไปบนพื้น กลุ่มควันดำโขมงก็พวยพุ่งออกมาจากแผ่นหลังของเขาประหนึ่งเกิดการสันดาป
เขาขบกรามแน่น รีบหันหน้ากลับไปถลึงตาใส่แขกไม่ได้รับเชิญที่ปากประตูในทันใด
“ไอ้หยา!” เยี่ยนเสี่ยวซื่อปิดตา “ทำไมถึงอัปลักษณ์เช่นนี้”
หน้าเขียวแยกเขี้ยวยิงฟันแสนจะอัปลักษณ์ นั่นคือสิ่งที่อาจใช้พรรณนาบุรุษตรงหน้าผู้นี้ได้
ก่อนเข้ามา เยี่ยนเสี่ยวซื่อลองจินตนาการรูปร่างหน้าตาของคนร้ายนับครั้งไม่ถ้วน บุตรภูติผีล้วนแต่น่าเกลียดน่ากลัว (แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกของมารดาภูติผีก็ตาม) ทว่าเรื่องนี้ทำให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อเริ่มจะสงสัยในรสนิยมของมารดาภูติผีแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่คิดจะนึกภาพคนร้ายที่มารดาภูติผีคอยปกป้องอีกต่อไป
แต่ว่า…นางก็ยังดูเบารสนิยมมารดาภูติผีไปสักหน่อย
เยี่ยนเสี่ยวซื่อหลบอยู่หลังประมุขมาร กำแขนเสื้อของเขาแน่น โผล่ศีรษะออกมา มองผู้บำเพ็ญมารซึ่งเพิ่งจะหกคะเมนตีลังกาอยู่ที่พื้นด้วยตาเพียงข้างเดียว
ขลุ่ยนั่นทำให้เขาบาดเจ็บหนักในชั่วพริบตาเดียว เขานอนหายใจรวยริน เหงื่อกาฬโซมกาย ทำให้หน้าตาของเขาดูน่าสยดสยองเข้าไปอีก
เยี่ยนเสี่ยวซื่อมองไปยังเขี้ยวซี่ใหญ่ทั้งสอง อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นจับฟันของตนเอง “มีคนที่ฟันซี่ยาวเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“เป็นเพราะเขาไม่ใช่คน” ประมุขมารมองผู้บำเพ็ญมารที่ได้รับบาดเจ็บหัวจรดเท้า พร้อมเอ่ยขึ้นว่า “จะพูดให้ชัดเจนก็คือ ไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิต”
เมื่อความลับถูกเปิดเผย ความหวาดกลัวก็ปรากฏวาบในดวงตาของผู้บำเพ็ญมาร กระนั้นแล้วความหวาดกลัวนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความลับถูกเปิดเผย
“เสี่ยวเจา เหมือนว่าเขาจะกลัวเจ้า” เยี่ยนเสี่ยวซื่อบอก
“อืม” เขาเป็นประมุขมาร ย่อมเป็นที่ยำเกรงของผู้บำเพ็ญมาร ไม่แปลกที่ผู้บำเพ็ญมารคนนี้จะกลัวเขา
เพียงแต่ว่าผู้บำเพ็ญมารจำเขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาประมือกับมารดาภูติผีแล้ว
“เจ้าใจกล้านัก” ประมุขมารเดินเข้าไปเบื้องหน้าผู้บำเพ็ญมารทีละก้าวๆ ราวกับเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของเขา
ผู้บำเพ็ญมารตัวสั่นเทิ้มงอตัวโค้ง ก้มหน้าลง เพื่อกลบเกลื่อนความมีพิรุธในดวงตา
เขาค่อยๆ ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ
เสียง ‘แกร็ก’ ดังลั่น ฝ่าเท้าสูงศักดิ์ของประมุขมารย่ำลงบนมือของเขาเต็มแรง จนข้อมือของเขาหักในทันที
รองเท้าของประมุขมารบดขยี้มือที่หัก “กล้าแม้แต่จะปองร้ายนาง ข้าว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่จริงๆ แล้วกระมัง”
ขลุ่ยเลานั้นได้ผ่านการปลุกเสกมา แม้จะทรงพลังถึงขนาดทำให้ผีสางวิญญาณที่แตะต้องโดนมันแหลกสลายไป ทว่าผู้บำเพ็ญมารหาใช่ผีร้ายแต่อย่างใด ขลุ่ยไม่มีผลต่อเขามากนัก ที่เขาต้องแสร้งทำเป็นอ่อนแอเช่นนี้ ก็เพื่อให้ประมุขมารลดความหวาดระแวงลง จะได้ง่ายต่อการฉกชิงเด็กในตะกร้าสะพายหลัง
ถึงแม้ประมุขมารจะมิได้สนใจความเป็นความตายของประมุขศักดิ์สิทธิ์น้อย แต่ร่างเล็กนั่นคือร่างของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
ผู้บำเพ็ญมารจ้องเขม็งด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ แต่กลับไม่ยอมส่งเสียงร้องด้วยความทุรนทุรายแม้แต่น้อย
เมื่อเยี่ยนเสี่ยวซื่อคิดว่าเขาคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย จึงไม่หลงเหลือความเห็นใจให้เขาแม้แต่น้อย เยี่ยนเสี่ยวซื่อเดินเข้าไป แล้วถามว่า “เสี่ยวเจา เมื่อครู่เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเขาไม่ใช่คนที่มีชีวิต?”
ประมุขมารตอบว่า “เขาตายไปแล้ว ใช้เพียงการดูดซับพลังหยางเพื่อคงสภาพเช่นนี้”
“อ๋า? นี่…นี่คือศพหรอกหรือ…” เยี่ยนเสี่ยวซื่อไม่ได้กลัวศพ อันที่จริงนอกจากความอัปลักษณ์แล้ว นางก็ไม่ได้หวาดกลัวสิ่งใดอีก “เช่นนั้นยังนับว่าเป็นผู้บำเพ็ญมารได้อีกหรือ?”
ประมุขมารพูดว่า “เคยเป็นผู้บำเพ็ญมาร แต่ตอนนี้…เป็นผู้บำเพ็ญมารที่ตายไปแล้ว”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อร้อง ‘โอ้’ ออกมาคราหนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว เขาตายไปแล้ว แต่ไม่อยากกลับไปสู่สังสารวัฏ เพราะฉะนั้นจึงกินพลังหยางของบุรุษหนุ่มเป็นอาหาร เพื่อต่อชีวิตให้ตนเอง”
ประมุขมารเสียงเคร่งขรึมทุ้มต่ำลง “ผู้บำเพ็ญมารไม่มีสังสารวัฏ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]