รองเท้าผีอันใด! ช่างน่าเกลียดอย่างหาที่สุดมิได้!
ผู้ใดกันที่เย็บพื้นรองเท้าหนาเช่นนี้…ราวกับใส่ขนมเนื้อฟูก้อนใหญ่สองก้อนออกมาจากบ้าน แล้วก็ยังเป็นขนมที่มีขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากันอีก
(อวี๋หวั่นเย็บพื้นรองเท้าได้เพียงครึ่งหนึ่ง ก็ลืมว่าตนเองใส่ไปกี่ชั้นแล้ว ผลที่ได้คือรองเท้าอีกข้างใส่มากกว่าถึงสองชั้น…)
บรรดาขุนนางชั้นสูงก็เป็นเช่นเดียวกันกับรองเสนาบดีกรมพิธีการ ยามได้ยินคำพูดของเยี่ยนจิ่วเฉา พวกเขาจึงมองไปที่รองเท้านั้น ทันทีที่เห็นทุกคนก็ต่างร่ำร้อง รองเท้าอัปลักษณ์เช่นนี้ถูกใส่เข้ามาในท้องพระโรง เหล่าขันทีทำอันใดกินกัน?
ฮ่องเต้ก็ยังทนไม่ได้ที่จะมองตรงๆ เด็กคนนี้รีบมาที่จินหลวนเตี้ยนเพื่ออวดรองเท้าคู่หนึ่งรึ?
ฮ่องเต้ยกมือขึ้นปิดตา “ฉงเอ๋อร์ รองเท้าเจ้า…”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขัดด้วยคำพูดที่มีเหตุผล “แม้ว่าท่านจะเป็นท่านลุงของข้า ท่านก็ไม่อาจเอารองเท้าของข้าไปได้!”
คิดจะเอารองเท้าของเจ้า!
ฮ่องเต้แทบร้องไห้เพราะความอัปลักษณ์ของรองเท้าขนมทรงโบราณคู่นี้ เดิมทีหมายจะเจรจาเกี่ยวกับประเด็นสำคัญ ยามนี้เริ่มไม่อยากเจรจาแล้ว พลันโบกมือเหมือนไล่ยุง “…ถอย ถอยออกไป!”
ขันทีกล่าวตามพิธี “คุกเข่า-“
เหล่าขุนนางชั้นสูงคุกเข่า
เยี่ยนจิ่วเฉาเหมือนหงส์ในหมู่กา!
ฮ่องเต้ขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเด็กคนนี้ว่าจะคุกเข่าหรือไม่ เขาใคร่จะกลับไปที่วังหลัง หมายจะดูสาวงามสามพันคนเพื่อล้างตา…
กระทั่งฮ่องเต้เสด็จออกจากจินหลวนเตี้ยน เหล่าขุนนางชั้นสูงก็พากันกลับบ้านไปล้างตาด้วยเช่นกัน!
เยี่ยนจิ่วเฉาเลิกคิ้วและเดินออกจากจินหลวนเตี้ยนด้วยท่าทางที่มั่นใจ
เยี่ยนไหวจิ่งมองตามหลังเขา พลันขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“เสด็จพี่รอง” องค์ชายสี่โน้มตัวเข้ามาและเอ่ยถามด้วยสีหน้าแปลกใจ “เขากำลังเล่นอันใดอยู่กันแน่?”
เยี่ยนไหวจิ่งส่ายศีรษะด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “ข้าไม่ทราบ”
“มิใช่ว่าเขาป่วยหรอกกระมัง!” องค์ชายสี่พึมพำ
เยี่ยนไหวจิ่งมองเขาอย่างเย็นชา “องค์ชายสี่ โปรดระวังคำพูด ที่นี่คือจินหลวนเตี้ยน”
องค์ชายสี่แลบลิ้นออกมา พลางเอ่ยในใจ เจ้าเกลียดเขาเสียยิ่งกว่าข้า ไฉนต้องแสร้งเป็นคนยุติธรรมเที่ยงแท้? เสด็จพ่อก็ไปแล้ว ทำให้ผู้ใดเห็นรึ?
“องค์ชายห้าไปกันเถอะ!” องค์ชายสี่ดึงข้อมือขององค์ชายห้าเดินจากไปอย่างเย็นชา
…
คุณชายผู้หนึ่งที่โอ้อวดรองเท้าคู่สวยได้สำเร็จ ย่างกรายเข้าไปนั่งในรถม้าอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่กายนั่งอยู่ด้านในก็กลับยื่นเท้าออกมาด้านนอก
อิ่งสือซันนึกเสียใจที่ให้อิ่งลิ่วไปยังก้งเฉิง ทิ้งให้เขาต้องแบกรับการมองสุนทรีภาพอันแสนเจ็บปวดที่เขาไม่ควรจะได้รับ
“ขอของกินหน่อยเถิด…ไม่ได้กินอะไรมาสามวันแล้ว…” ยามผ่านถนนฉางอันที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง ยาจกตาบอดผู้หนึ่งเดินคลำทางออกจากตรอกด้านข้างด้วยไม้เท้า
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พบกับเหตุการณ์เช่นนี้ อิ่งสือซันไม่ได้รู้สึกใดๆ และยังคงขับรถม้าไปข้างหน้า ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉาก็บอกให้หยุดรถม้าในทันที
เยี่ยนจิ่วเฉาก้าวลงจากรถ
ชายตาบอดคล้ายกับได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวข้างๆ เขาจึงหันไปอย่างช้าๆ
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้ามาพร้อมกับเหยียดเท้าออกไป “เจ้าคิดว่ารองเท้าของคุณชายผู้นี้ดูดีหรือไม่?”
ชายตาบอดผงะไปครู่หนึ่ง แล้วทันใดนั้นก็พยักหน้าอย่างเหม่อลอย “ดูดีมาก ดูดียิ่งนัก!”
เยี่ยนจิ่วเฉาโยนทองคำลงในชามที่แตกแล้ว พลางขึ้นนั่งบนรถม้า “กระทั่งคนตาบอดก็ยังบอกว่าดูดี!”
อิ่งสือซันโอดครวญในใจ ‘ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ตาบอด!’
เหล่าเด็กน้อยก็ดีใจมากที่ได้รองเท้าคู่ใหม่จากอวี๋หวั่น ทว่าพวกเขาไม่สามารถออกจากบ้านได้ จึงได้เพียงแต่ใส่รองเท้าผ้าเล็กๆ สวย(อัปลักษณ์) สวย(อัปลักษณ์) แล้วเรียกทุกๆ คนในจวนให้มาดู
อวี๋เซ่าชิงยังคงไม่รู้ว่า ‘ของขวัญวันเกิดสุดประทับใจ’ ของเขา ได้ถูกสวมใส่อยู่บนเท้าของชายอื่นเสียแล้ว ยามนี้เขามีความสุขจนแทบลอย หั่นผักรัวๆ!
……………………………
หลังจากเยี่ยนไหวจิ่งออกจากท้องพระโรง เขาก็ไม่ได้กลับไปที่เรือนในทันที ทว่ากลับไปที่วัดต้าหลี่เพื่อสืบคดีของอวี๋เซ่าชิงต่อไป เนื่องจากแน่ใจแล้วว่าอวี๋หวั่นคือสตรีที่เขาตามหามานานสองปี คดีของอวี๋เซ่าชิงจึงต้องใช้เวลาคิดอยู่เป็นนาน
จวินฉางอันนั่งบนขอบหน้าต่างอย่างเบื่อหน่าย
ทันใดนั้น องครักษ์มืดคนหนึ่งก็เข้ามา พร้อมกับยื่นกระดาษข้อความให้เยี่ยนไหวจิ่ง
จวินฉางอันยืดคอชำเลืองมอง “ข่าวจากหมู่บ้านเหลียนฮวาสินะ…ท่านส่งคนไปสอดส่องเด็กผู้หญิงคนนั้นมาหรือ?”
เยี่ยนไหวจิ่งถือกระดาษข้อความเหนือตะเกียงน้ำมันเพื่อเผามัน และส่งสายตาเป็นนัยให้องครักษ์มืดถอยออกไป จากนั้นก็เอ่ยกับจวินฉางอัน “หาใช่สอดส่อง ทว่าดูความเคลื่อนไหวของนาง เพื่อให้ทราบว่าโจวไหวได้ติดต่อกับพ่อของนางหรือไม่?”
จวินฉางอันยักไหล่ราวกับว่าแล้วแต่ท่านจะกล่าว
เยี่ยนไหวจิ่งกระดิกนิ้ว “…เตรียมรถม้า ไปหมู่บ้านเหลียนฮวา”
“ไหนว่าหาใช่สอดส่อง” จวินฉางอันบ่นพึมพำ และกระโดดลงจากขอบหน้าต่างเพื่อสั่งให้คนเตรียมรถ
เยี่ยนไหวจิ่งรู้ว่าคำพูดของตนไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากโจวไหวได้ตัดสินใจที่จะหนีไปให้ไกล จึงไม่มีทางที่จะติดต่อกับอวี๋เซ่าชิงอย่างแน่นอน ทว่าเขาก็ใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างเพื่อดูความเคลื่อนไหวของนางตลอดเวลา
หลังเตรียมรถม้าพร้อมแล้ว เยี่ยนไหวจิ่งกับจวินฉางอันก็มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเหลียนฮวา
ยามนี้หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว อาหารบนโต๊ะก็ถูกนำออกไปและแทนที่ด้วยน้ำชา ถั่วลิสงตุ๋นและน้ำตาลก้อน ในขณะที่ชาวบ้านนั่งคุยกัน ผู้จัดการชุยและนายท่านฉินเปิดโต๊ะเล่นใบไม้ในบ้าน
การละเล่นใบไม้มิใช่การเล่นกลที่แท้จริง เป็นเพียงไพ่ชนิดหนึ่ง ที่มีชุดไพ่ทั้งหมดสี่ชุด หนึ่งอีแปะ หนึ่งร้อย หมื่นพวงเงิน แสนพวงเงิน การเล่นนั้นค่อนข้างคล้ายกับไพ่นกกระจอกในปัจจุบัน ที่ต้าโจว ไพ่ใบไม้คือสิ่งที่คนในเมืองเล่น คนชนบทยุ่งอยู่กับงาน ไม่มีทั้งเวลาทั้งเงินที่จะไปเล่น
ฉินจื่อซวี่ยุ่งอยู่กับการกิน กินและกิน จึงไม่ได้เข้าร่วมกับผู้จัดการชุยและลุงของเขา อวี๋หวั่นคิดว่าหากมันเหมือนกับไพ่นกกระจอก เธอก็น่าจะเล่นได้ ทว่าเธอยังต้องเตรียมงานเลี้ยงตอนเย็น จึงไม่อาจร่วมเล่น
โชคดีที่ซวนจื่อเคยเล่นในค่ายทหารมาก่อน จึงลากอวี๋เฟิงมาเล่นไปด้วยพลางสอนไปด้วย ทำให้โต๊ะไพ่ใบไม้มีคนครบแล้ว
ไม่มีผู้ใดที่สังเกตเห็นนางเจียงในห้องโถง นัยน์ตาน้อยมองด้วยความแค้นอย่างขมขื่น
………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]