ในป่าเชียวชอุ่ม สายน้ำไหลเอื่อย ทิวทัศน์งดงาม เยี่ยนจิ่วเฉายืนอยู่ริมลำธาร มองไปยังน้ำตกสูงซึ่งอยู่ไกลออกไป เขาพลัดหลงกับอวี๋หวั่นและคนอื่นๆ จึงเดินมาถึงสถานที่แห่งนี้ หมู่นกร้องเพลง แสงแดดสาดส่อง
เขาเดินไปเรื่อยๆ ก็พบกับสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งดูคล้ายกับที่พำนักของเหล่าเทพเซียน
น้ำในลำธารนั้นใสจนมองเห็นก้นลำธาร ปลาขนาดเท่าฝ่ามือแหวกว่ายไปมา ก้อนหินใต้น้ำถูกกระแสน้ำซัดเซาะจนเงา แสงสะท้อนของดวงตะวันวับวาบขึ้นมาจากสายน้ำ
เยี่ยนจิ่วเฉาค้อมกาย นิ้วเรียวยาวจิ้มลงไปในน้ำ น้ำในลำธารนั้นหนาวเหน็บจนปวดกระดูก ปลาซึ่งก่อนหน้านี้ว่ายวนเวียนอยู่ในน้ำก็เตลิดหนีไป!
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบก้อนกรวดขนาดเท่าไข่นกพิราบขึ้นมาก้อนหนึ่ง จับไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโยนลงไปในน้ำ
ไม่ไกลออกไป ท่ามกลางมวลบุปผาบานสะพรั่ง กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นมา
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังป่าท้อซึ่งเป็นต้นควัน ในป่าท้อนั้นมีบ้านคน รั้วไม้ไผ่แหลมสูงครึ่งตัวคน ล้อมรอบเรือนซึ่งดูเรียบง่าย
รั้วซึ่งทำจากไม้ไผ่แหลมเปิดอยู่ เยี่ยนจิ่วเฉาเดินสาวเท้าเข้าไป
กระนั้นขณะที่เขากำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู ลูกศรเย็นเฉียบก็พุ่งเข้ามาหาเขา!
มันกำลังจะพุ่งเข้าทะลุอกของเยี่ยนจิ่วเฉา เขากลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด และปล่อยให้ศรธนูผ่านร่างของตนไป!
“กระจอก”
คุณชายเยี่ยนไม่ยี่หระต่ออาคมใดๆ เขาเดินเข้าไปในเรือนอันเย็นยะเยือก
จากนั้นก็มีศรธนูอีกจำนวนหนึ่งพุ่งเข้ามา เขามิได้ขยับหลบ แต่เดินไปตามระเบียงทางเดิน ดอกแล้วดอกเล่า แต่ในครั้งนี้เยี่ยนจิ่วเฉาลงมือแล้ว นัยน์ตาของเขากระตุกวูบ พลังภายในแข็งแกร่งปะทุออกมา ระเบิดศรธนูแหลกเป็นจุณ!
ลูกศรระลอกแรกเป็นอาคม ระลอกหลังเป็นของจริง แต่เมื่อถูกหลอกเข้าครั้งแรก คนทั่วไปมักจะคิดว่าระลอกหลังเป็นของปลอมเช่นกัน ไม่เพียงเพราะความเคยชิน แต่ยังเป็นเพราะไม่มีเวลายั้งคิดอีกด้วย
“เจ้าหนุ่ม เจ้ามองอาคมของข้าออกได้อย่างไร”
ในห้อง เสียงของบุรุษชราฟังดูแหบพร่าราวกับระฆังโบราณ
ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ทิวทัศน์โดยรอบก็เปลี่ยนไป เรือนซึ่งเดิมทีอยู่ท่ามกลางดอกท้อบานสะพรั่ง ก็แปรเปลี่ยนเป็นเรือนมืดในป่าทึบ แสงแดดจ้าก็พลันกลายเป็นบรรยากาศขมุกขมัว เส้นขอบฟ้าหมดลง ราวกับฟ้ากำลังจะถล่ม
เยี่ยนจิ่วเฉานัยน์ตากระตุกวูบ ทันใดนั้นประตูใหญ่ก็เหวี่ยงเปิดออก
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้าไปอย่างไม่รอช้า
“เจ้ายังกล้าเข้ามาอีกหรือ?” เสียงแหบพร่าดังขึ้นอีก
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างไม่ยี่หระว่า “ไม่เข้าไป แล้วข้าจะจับเจ้าออกมาได้อย่างไร?”
“เจ้าคิดจะจับข้าอย่างนั้นหรือ?” เจ้าของเสียงเอ่ยถามราวกับกำลังฟังเรื่องตลก ในห้องมีเสียงหัวเราะลั่น เป็นเสียงดังเย็นเยียบประหนึ่งเสียงของยมทูตจากขุมนรก
กระนั้น เยี่ยนจิ่วเฉาก็มิได้ตกใจกลัว เขาเพียงแต่มองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “เรือนของเจ้าอัปลักษณ์เหลือเกิน คุณชายอย่างข้าไม่อยากอยู่ที่นี่นาน เจ้าออกมาเองเถิด หรือจะให้ข้าจับเจ้าออกไป?”
“ข้าไม่ได้พบคนที่หยิ่งผยองอย่างเจ้ามานานแล้ว เจ้ามาถึงที่นี่ได้ นับว่ามีความสามารถพอตัว แต่ข้าจะบอกเจ้าให้ ว่าแต่ไหนแต่ไรมา ผู้ที่บุกรุกเข้ามาบนเกาะแห่งนี้ล้วนแต่ตายทุกคน! เจ้าเก่งกาจถึงเพียงนี้ ข้าสังหารเจ้าไม่ลงคอ เอาอย่างนี้ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่จะดีกว่า เจ้าโขกศีรษะให้ข้าสามครั้ง แล้วข้าจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์!”
“เป็นลูกศิษย์ของเจ้า ดีตรงไหนกัน?” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นั่นล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หากเจ้าทำให้ข้าพอใจ ข้าก็ยินดีจะถ่ายทอดความสามารถของข้าให้กับเจ้า”
เยี่ยนจิ่วเฉาร้อง ‘อ้อ! ’ ออกมา “เจ้าหมายถึงอาคมไร้ประโยชน์พวกนี้น่ะหรือ?”
“เจ้าเด็กบ้า!” ผู้เฒ่าโทสะพลุ่งพล่าน ผนังห้องโถงมืดทึบก็เปิดออก ศรพิษจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาสะบัดแขนเสื้อ ระเบิดศรพิษจนกระจุยกระจาย
“วิชาอายุวัฒนะ? เจ้าเด็กบ้า! เจ้าเป็นคนเผ่าพ่อมดรึ? ไม่สิ บนร่างของเจ้ามีกลิ่นอายของราชาศักดิ์สิทธิ์! เจ้า…เจ้าเกี่ยวข้องกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์อย่างไร?!”
“ไม่ได้เกี่ยวอะไรกัน” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
“คนเผ่าศักดิ์สิทธิ์บุกเข้ามาถึงอาณาเขตของข้า ดูแล้วแค่สั่งสอนให้หลาบจำน่าจะยังไม่พอ! ข้าอุตส่าห์เห็นว่าเจ้ามีดีกว่าคนอื่น จึงอยากรับไว้เป็นศิษย์ แต่เจ้ากลับเป็นคนของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่อาจปล่อยเจ้ามีชีวิตรอดไปได้”
เยี่ยนจิ่วเฉาหยิบก้อนหินบนโต๊ะขึ้นมาถือไว้ในกำอุ้งมือ กล่าวว่า “เจ้าแก่ เลิกอ้อมค้อมสักที จะสู้ก็มาสู้กัน หากจะไม่สู้ก็คุกเข่าลงเสีย”
“เจ้าเด็กโอหัง!!!”
ผู้เฒ่าโมโหสุดขีด เขาตวาดเสียงดัง พลังปะทุออกไป ในตอนนั้นเอง ในห้องโถงก็มีเงาสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา ผู้เฒ่าผมสีขาวโพลนคนหนึ่งปรากฏกายออกมา เขานั่งอยู่บนรถเข็น รถเข็นกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง
เมื่อได้ยินเสียงของเขา ย่อมต้องเดาว่าเขาอายุอานามประมาณเจ็ดแปดสิบ แต่ใบหน้าของเขาแลดูอ่อนเยาว์กว่าที่คิด คล้ายกับอายุห้าหกสิบเห็นจะได้
เขาถลึงตาใส่เยี่ยนจิ่วเฉาด้วยความโกรธเกรี้ยว
เยี่ยนจิ่วเฉาหล่อเหลาและอ่อนเยาว์ ทั้งยังรูปร่างสูงสง่าจนเขาต้องหรี่ตา
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังท่อนไม้ซึ่งวางเรียงอยู่ที่กำแพง “นี่คือคนที่ถูกเจ้าดูดวรยุทธ์ใช่ไหม? จึงทำให้เจ้าอายุยืนถึงเพียงนี้”
ทันทีที่เขาพูดออกไป ท่อนไม้เหล่านั้นก็เปลี่ยนกลับไปเป็นโครงกระดูก
สายตาของผู้เฒ่านั้นลึกล้ำ “อาคมของข้าปิดเจ้าไม่ได้จริงๆ”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างเย่อหยิ่งว่า “อาคม เข้าใจแล้ว ก็คือวิชาอำพรางตา ทั้งยังใช้ยาแฝด ทำให้คนเกิดภาพหลอน มองออกยากตรงไหน? ยาแฝดของเจ้า อวี๋อาหวั่นบ้านข้าทำออกมาได้เป็นอ่าง หากเจ้าอยากได้ ข้าจะให้”
“เจ้า!” ผู้เฒ่าเส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ
คนที่เขาพูดถึงนั้นทำออกมาได้จริงหรือไม่ ผู้เฒ่าไม่รู้ เขารู้เพียงแต่ว่าความสำเร็จของเขากำลังถูกท้าทาย เขาสูดหายใจเข้าลึก กดระงับความปรารถนาจะอัดเจ้าเด็กเวรตะไลนี่ให้ตาย แล้วหัวเราะออกมาอย่างเย็นเยียบ “ข้าเสียดายความสามารถของเจ้าเหลือเกิน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหนึ่ง หากเจ้าชนะ ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่ถ้าหากเจ้าแพ้ ข้าก็จะเอาชีวิตเจ้า!”
“ได้สิ” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบตกลง
ผู้เฒ่าพิจารณาสีหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะต่อรองกับข้าว่า ถ้าหากข้าแพ้ ก็จะยอมไปกับเจ้าแต่โดยดี”
เยี่ยนจิ่วเฉามองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ผู้เฒ่าเริ่มหมดความอดทน “เจ้าไม่ได้มาจับข้าหรอกหรือ?”
“อ่า เรื่องนั้นน่ะหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า “เจ้าจะยินดีหรือไม่ ข้าก็จะจับเจ้าอยู่ดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]