ชายชราสงบนิ่งไม่หวั่นไหวกับเรื่องใด เขานั่งขัดสมาธิบนพื้นยกสูงขรุขระ ด้านหลังเป็นกำแพงที่ร้าวแตกหลายจุด
“อาเว่ย แน่ใจว่าใช่นางรึ?” เสียงในลำคอของชายชราที่ส่งออกมา คล้ายกับเสียงที่มาจากยุคสมัยโบราณอันห่างไกล แฝงไปด้วยความลึกลับ
อาเว่ยเป็นคนไปเปิดประตูก่อนหน้านี้ และเป็นบุรุษที่ได้พบหน้าอวี๋หวั่น ภายในบ้าน นอกจากเขาแล้วก็ยังมีวัยรุ่นอยู่อีกสองสามคน
อาเว่ยบีบกำปั้นที่สวมถุงมือหนัง พลางเอ่ยอย่างมั่นใจ “ใบหน้านั้นเหมือนกับในภาพวาดไม่มีผิด! แล้วข้าก็เคยเห็นนางอยู่ในฝูงชน! ข้าไม่มีทางจำผิดแน่!”
ชายหนุ่มที่มีรอยแผลเป็นเล็กๆ ใต้ตาขวาเอ่ย “ผ่านมาสิบแปดปีแล้ว เหตุใดนางถึงไม่เปลี่ยนไปสักนิด?”
“เอ่อ…” อาเว่ยก็ผงะด้วยความงุนงง
ชายหนุ่มที่รูปร่างสูงที่สุดอีกคนกล่าว “นางอาจจะใช้วิชาคงความงาม?”
ชายชรากล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไร เราจะจับตาดูนาง ไม่มีผู้ใดสามารถปฏิเสธการอภิเษกขององค์กษัตริย์ได้ เราต้องพานางกลับเผ่า และส่งนางให้ถึงมือของกษัตริย์ ให้องค์กษัตริย์จัดการกับนางเอง!”
อาเว่ยสีหน้าเคร่งขรึม “ใช่แล้ว นางต้องชดใช้กับพฤติกรรมเลวร้ายของนางก่อนหน้านี้อย่างสาสม!”
…
ตกบ่าย ซั่งกวนเยี่ยนเข้ามาที่หมู่บ้าน เหตุเพราะอวี๋หวั่นได้ตักเตือน อาเว่ยจึงย้ายรถม้าไปที่สวนหลังบ้าน ดังนั้นเมื่อซั่งกวนเยี่ยนผ่านบ้านสกุลจ้าว จึงไม่ได้สังเกตว่าผู้ที่ย้ายมาใหม่เป็นกลุ่มคนที่บังเอิญเจอกันที่ถนน
สารถีรถม้าถามที่อยู่ของอวี๋หวั่นที่ทางเข้าหมู่บ้าน และขับรถม้าตรงไปยังประตูบ้านของอวี๋หวั่น
ซั่งกวนเยี่ยนลงจากรถม้า
ซั่งกวนเยี่ยนรูปร่างหน้าตางดงาม แต่งกายงามเพริศพริ้ง ดึงดูดทุกสายตาให้มาจับจ้องยามนางปรากฏตัว
บรรดาสตรีหญิงสาวต่างตกตะลึง ใยจึงมีคนที่งดงามชวนมองเช่นนี้ได้?
เหล่าบุรุษชายยิ่งไม่ต้องพูดถึง ช่างฝีมือที่เตรียมตัวจะเก็บงานจากสถานที่ก่อสร้างต่างตัวแข็งทื่อดังหิน ยืนตะลึงมองตาไม่กะพริบ
“อา—”
ผู้ชายของนางเหมียวมองจนจิตใจล่องลอย ตกลงมาจากกำแพงที่สูงถึงสองเมตร
ซั่งกวนเยี่ยนเริ่มคุ้นชินกับสิ่งที่เป็นเช่นนี้เพราะตนเองแล้ว ไม่ว่านางจะไปที่ใด ก็ล้วน ‘เอิกเกริก’ เช่นนี้มาตลอด
ไม่นาน เด็กอ้วนจ้ำม่ำทั้งสามก็ออกมาจากรถม้า
คราวนี้ ถึงกับทำให้ทุกคนต้องสะดุ้งตกใจ
พวกเขามองผิดไปหรือเปล่า? นี่ นี่ นี่มันแฝดสาม?
พวกเขาใช้ชีวิตมาจนอายุปูนนี้ เพียงได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าบ้านใดจะมีลูกแฝดสามคน หากไม่ใช่ตั้งครรภ์แล้วเกิดมาไม่ได้ ก็เกิดมาแล้วมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เด็กชายสามคนที่แข็งแรงน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ เห็นได้เพียงครั้งเดียวในชีวิต!
เป็นครั้งแรกที่ซั่งกวนเยี่ยนถูกแย่งความสนใจ ที่แท้ก็เป็นเพราะเด็กน้อยทั้งสาม
เด็กจ้ำม่ำมีผมจุกที่มัดแบบเดียวกัน ผูกด้วยผ้าสีน้ำเงินแบบเดียวกัน สวมเสื้อสีน้ำเงินและกางเกงสีขาวแบบเดียวกัน ที่เอวของพวกเขาคาดเข็มขัดสีทองเงาวาว คุณชายน้อยที่ดูสูงส่งล้ำค่าทั้งสาม ช่างน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก!
จนกระทั่ง…ทุกคนได้เห็นรองเท้าหัวเสือที่เท้าของทั้งสาม
เอ่อ…แน่ใจนะ ว่าเป็นหัวเสือ ไม่ใช่หัวแมว? ไฉนจึงได้น่าเกลียดอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้…
ทั้งสามย่ำบนรองเท้าอัปลักษณ์ เตาะแตะเข้าไปในบ้าน อย่างชำนาญลู่ทาง!
เถี่ยตั้นน้อยกำลังฝึกเขียนพู่กัน เขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านนอกหน้าต่าง จึงเปิดหน้าต่างออกดู “ว้าว! น้องชาย! พวกเจ้ามาแล้ว!”
เถี่ยตั้นน้อยรีบวางพู่กันลงแล้ววิ่งออกไป อ้าแขนทั้งสองเพื่อต้อนรับ และโผเข้าหาน้องชายตัวน้อยที่กระโจนเข้ามา แต่แล้ว น้องชายตัวน้อยของเขาก็วิ่งผ่านไปอย่างไร้ความรู้สึก…
เถี่ยตั้นน้อยที่หลังจากถูกพี่สาวใช้กลอุบาย ยังถูกน้องชายหมางเมินอีก “…”
ไม่มีสิ่งใดน่าเศร้าไปมากกว่านี้
อวี๋หวั่นที่อยู่ในห้องครัวกำลังเทน้ำจากถังลงในตุ่ม จู่ๆ ก็รู้สึกถึงบางสิ่งเล็กๆ อ้วนๆ สามก้อนกระแทกเข้ามา และกอดต้นขาเธอไว้!
ร่างกายเล็กๆ ที่อ่อนนุ่ม กับมือน้อยๆ ที่อบอุ่น ทำให้หัวใจของอวี๋หวั่นสั่นระรัว
ซั่งกวนเยี่ยนกระแอมเบาๆ และเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เจ้าพูดก็ถูก จำเป็นต้องชิมก่อน หากเจ้าขายของเสียๆ ให้เราจะทำอย่างไร!”
สาวรับใช้ครุ่นคิด และพยักหน้าเคร่งขรึม “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าไปทอดเต้าหู้เหม็นมาหนึ่งจาน!”
อวี๋หวั่นยิ้มรับ แล้วเดินไปทอดเต้าหู้เหม็น
อวี๋หวั่นทอดทั้งหมดสามจาน เต้าหู้เหม็นสีขาวหนึ่งจาน ไม่มีไส้ รสชาติดั้งเดิม และเต้าหู้เหม็นดำสองจาน จานหนึ่งใส่น้ำปรุงเต้าเจี้ยวหมัก จานหนึ่งยำหัวไชเท้าหั่นเต๋า หัวไชเท้าหั่นเต๋าบ้านเธอมีรสชาติเผ็ดซ่อนหวาน สดชื่นและตัดความเลี่ยนได้เป็นอย่างดี
ซั่งกวนเยี่ยนกินไม่หมดในชั่วครู่ชั่วยาม อวี๋หวั่นนึกได้ว่าพริกป่าและผลไม้ที่ภูเขาด้านหลังสุกแล้ว จะไปเก็บมาให้ซั่งกวนเยี่ยนนำกลับไป คนในชนบทไม่มีของดีพิเศษอะไร มีเพียงอาหารแปลกๆ เหล่านี้ที่สามารถให้ผู้คนในเมืองได้ลิ้มลอง
“พระชายาทานให้อร่อย ข้าจะไปที่ภูเขาด้านหลังและจะรีบกลับมา” อวี๋หวั่นถือพลั่วและแบกตะกร้าเดินออกไปทางด้านหลัง
เด็กน้อยทั้งสามก็เดินเตาะแตะตามขึ้นไปด้วย
“คุณชายน้อย ภูเขาด้านหลังอันตราย ไปไม่ได้!” สาวรับใช้จับพวกเขาไว้
เด็กทั้งสามมองอวี๋หวั่นด้วยสายตาเศร้าสลด น้ำตาคล้ายจะไหลออกมา
หัวใจของอวี๋หวั่นอ่อนยวบจนเธอต้องเอ่ยกับสาวใช้ “ข้าไปภูเขาด้านหลังไม่ไกลนัก ยังไม่ข้ามไหล่เขาตรงนั้นเลย เจ้าดูสิ อยู่ตรงนั้น”
สาวรับใช้ยืนอยู่ที่ป่าไผ่เล็กๆ ในสวนหลังบ้าน และมองตามทิศที่นิ้วอวี๋หวั่นชี้ไป มันอยู่ไม่ไกลจริงๆ แล้วช่วงนี้ก็มีคนขึ้นไปขุดหน่อไม้และเก็บผักป่าบนภูเขามากมาย จนเกิดเป็นทางเดินเท้าแล้ว
ทว่าสาวใช้ก็ยังคงกังวลอยู่ นางอยากตามไปด้วยแต่ก็ยังต้องอยู่เฝ้าฮูหยิน คิดได้แล้ว จึงเอ่ยอย่างประนีประนอม “เช่นนั้น ข้าจะดูเจ้าอยู่ตรงนี้! และเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปในที่ที่ข้ามองไม่เห็น!”
“ได้เลย” อวี๋หวั่นยิ้มและพยักหน้ารับ สาวใช้ผู้นี้จะว่าดุก็ดุ แต่ก็ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายยิ่งนัก อันที่จริง อวี๋หวั่นอยากไปไกลกว่านี้ แต่ในเมื่อเธอพาเด็กมาด้วย จึงได้แค่เดินอยู่รอบๆ เชิงเขา
เมื่อเด็กน้อยทั้งสามเห็นว่าอวี๋หวั่นมีตะกร้าอยู่บนหลัง ก็อยากมีตะกร้าเล็กๆ บ้าง ตะกร้าไม่มีแล้ว อวี๋หวั่นพบเพียงผ้าฝ้ายสะอาดสองสามผืน จึงนำมามัดและผูกไว้ที่คอของทั้งสามเป็นย่ามเล็กๆ
เด็กจ้ำม่ำที่ได้ย่ามก็ดีอกดีใจ กระโดดโลดเต้นตามอวี๋หวั่นขึ้นไปภูเขาด้านหลัง
………………………………………………………….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]