หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] นิยาย บท 71

บทที่ 71 แม่ลูกพบหน้า (1)
Ink Stone_Romance

อวี๋หวั่นนำหน่อไม้ดองไปหนึ่งจานและอัวอัวโถวที่ป้าสะใภ้ใหญ่เตรียมให้ติดไปด้วย แล้วจึงขึ้นไปนั่งบนรถม้า

“ข้าไม่คุ้นกับการนั่งรถม้ากับบุรุษแปลกหน้า คำขอนี้คงไม่มากเกินไปกระมัง?” อวี๋หวั่นถามด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ

บุรุษผู้นั้นยิ้ม “ได้”

พูดจบ เขาก็ยอมลงจากรถม้าแต่โดยดี

ทว่าผ่านไปเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ก็กลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับผ้าสีดำในมือ

“เช่นนั้นก็จำต้องล่วงเกินแม่นางอวี๋แล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม

อวี๋หวั่นเข้าใจความหมายทันที จึงไม่ได้ขัดขืน

เขาใช้ผ้าปิดตาอวี๋หวั่น ผูกปม จากนั้นก็ลงจากรถไป

รถม้าวิ่งอ้อมในเมืองหลวงอยู่สองสามรอบ ราวกับเพื่อให้มั่นใจว่าอวี๋หวั่นจะไม่สามารถจดจำเส้นทางได้ วิ่งวนจนอวี๋หวั่นไม่รู้เหนือใต้ออกตกอีกต่อไป จากนั้นจึงเคลื่อนต่อไปโดยมิได้หยุด

อวี๋หวั่นนั่งเงียบอยู่บนรถม้า เธอฉีกอัวอัวโถวออกมาปั้นเป็นก้อนกลมเล็ก แล้วโยนออกนอกหน้าต่าง

การเดินทางครั้งนี้ช่างยาวนานนัก อวี๋หวั่นโยนอัวอัวโถวออกไปทุกๆ ครั้งที่นับถึงสามสิบ จากนั้นเมื่อรู้สึกว่าอัวอัวโถวเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นโยนออกไปหนึ่งก้อนทุกครั้งที่นับถึงหกสิบ หลังจากที่อัวอัวโถวก้อนสุดท้ายหมด รถม้าก็หยุดลงพอดี

บุรุษขึ้นมาบนรถม้า ใช้กรรไกรตัดผ้าปิดตาของอวี๋หวั่นออก

แสงสว่างสาดส่องเข้ามาจนอวี๋หวั่นต้องหลับตา เธอยกมือขึ้นมาบังแสง แล้วจึงลงจากรถม้าไปพร้อมกับเขา

ที่นี่คือริมทะเลสาบ แต่ว่าเป็นทะเลสาบที่ใด อวี๋หวั่นเองก็ไม่รู้ กระนั้นเรื่องหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ก็คือ พวกเขาออกมาจากเมืองหลวงแล้ว เมื่อครู่เธอได้ยินเสียงทหารยามเฝ้าประตูเมือง หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ใช้ประตูเมืองทิศใต้อย่างแน่นอน

เนื่องจากนอกประตูเมืองทิศใต้ก็คือตำบลเหลียนฮวา เธอคุ้นเคยกับเส้นทางไปตำบลเหลียนฮวาเป็นอย่างดี ต่อให้ถูกปิดตาอยู่ เธอก็ยังรู้สึกได้

“แม่นางอวี๋” บุรุษผู้นั้นยิ้ม พลางเดินตรงมาหาอวี๋หวั่น เขาบีบถุงผ้าในมือ แล้วส่งให้เธอ “อยากนับหรือไม่?”

อวี๋หวั่นเหลือบมองของในถุง นี่ไม่ใช่ก้อนอัวอัวโถวที่เธอทิ้งเอาไว้เป็นเครื่องหมายหรอกหรือ?

เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “แม่นางอวี๋ พวกข้าอยู่ในแวดวงนี้มาไม่รู้กี่ปี ไม่ยักเคยเห็นวิธีเช่นนี้ เรื่องนี้ข้าจะไม่บอกเจ้านายข้า แต่ใคร่ขอเตือนแม่นางอวี๋สักหน่อย ว่าอย่าเล่นแง่เช่นนี้อีก”

อวี๋หวั่นมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ

เขาเดินไปยังไปยังท่าเรือเล็กแล้วผายมือ “แม่นางอวี๋ เชิญ”

อวี๋หวั่นเดินไปท่าเรือและขึ้นเรือไป

เรือลำนั้นไม่นับว่าใหญ่โต ทว่าด้านในกลับดูแตกต่าง บุรุษคนนั้นพาอวี๋หวั่นเข้าไปในห้องซึ่งดูวิจิตรงดงาม

เขาหยุดลงที่ปากประตู แล้วบอกกับอวี๋หวั่นว่า “เจ้านายข้ารอแม่นางอวี๋อยู่นานแล้ว แม่นางอวี๋เชิญเข้าไป”

อวี๋หวั่นจึงเดินเข้าไปด้านใน

สิ่งที่เธอไม่ได้คาดคิดเลยก็คือ ผู้ที่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอก็คือเหยียนหรูอวี้

“ทำไมถึงเป็นเจ้า?”

อวี๋หวั่นประหลาดใจ

แต่หลังจากนั้น เธอก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้น่าประหลาดใจสักเท่าไร อย่างไรเสียคนที่สามารถไปรับเด็กน้อยทั้งสามมาจากสกุลเซียวได้ นอกจากเยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว ก็มีเพียงเหยียนหรูอวี้ซึ่งเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของเด็กๆ

เงื่อนไขในการทำกระทำความผิดครบถ้วน แต่แรงจูงใจในการกระทำความผิดกลับฟังไม่ขึ้น

“เหยียนหรูอวี้เจ้าบ้าหรือเปล่า? ใช้ลูกของตัวเองเป็นเครื่องมือเพื่อเรียกให้ข้าออกมาเนี่ยนะ!” อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว

ที่กล่าวกันว่าเสือถึงดุร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง แต่เหยียนหรูอวี้ไม่ได้มองเด็กทั้งสามว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนด้วยซ้ำไป

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่รู้…” เหยียนหรูอวี้ยิ้มน้อยๆ นางกังวลมาตลอดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะสืบรู้ความจริง แต่วันนี้ดูแล้วน่าจะไม่ใช่ เยี่ยนจิ่วเฉาใส่ใจอวี๋หวั่นมากเพียงใด หากรู้ว่าเด็กชนบทคนนี้เป็นมารดาแท้ๆ ของเด็กทั้งสาม จะไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับนางเชียวหรือ?

เช่นนี้ เหยียนหรูอวี้ก็วางใจแล้ว

“ข้าไม่รู้เรื่องอะไร?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม

“‘รถม้าของพวกเจ้า ล้อฝั่งไหนพัง?’” อวี๋หวั่นหัวเราะ

เหยียนหรูอวี้ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ

อวี๋หวั่นยักไหล่ “ท่านดูก็แล้วกัน คำโกหกของทั้งสองถูกเปิดโปงด้วยคำถามข้อนี้ บางคนคิดว่าตัวเองฉลาด แต่ไม่รู้เลยว่าการกระทำของตัวเองถูกคนอื่นจับตามองไว้ตั้งนานแล้ว ที่บอกว่าคนฉลาดมักพลาดท่าเพราะความฉลาดของตนนั้นก็นับว่ามีเหตุผล”

“เจ้าจะด่าว่าข้าคิดว่าตัวเองฉลาดรึ?” เหยียนหรูอวี้มองไปยังอวี๋หวั่นด้วยสายตาเย็นเยียบ

อวี๋หวั่นตอบว่า “ข้าก็แค่รู้สึกว่า คนเราไม่ควรคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีจากการทำเรื่องไม่ดี”

เรื่องไม่ดี? เหอะ

เหยียนหรูอวี้หัวเราะเย้ยหยัน มองไปยังอวี๋หวั่นอีกครั้งหนึ่ง “เจ้าเล่าเรื่องได้เก่งเหลือเกิน ข้าก็มีเรื่องเล่าเหมือนกัน เจ้าอยากฟังหรือไม่?”

“ไม่อยาก” อวี๋หวั่นตอบไปตามตรง

เหยียนหรูอวี้อึ้งไป

อวี๋หวั่นยกชาขึ้นดื่มอีกคำหนึ่ง

เหยียนหรูอวี้หลุบตา ตั้งสติอีกครั้ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้า ข้าได้ยินว่าเจ้าจำเรื่องในอดีตไม่ได้”

“ท่านได้ยินมา? หรือว่าท่านไปสืบมากันแน่?” อวี๋หวั่นวางถ้วยชาลง แม้ว่าเหยียนหรูอวี้จะจิตใจโหดร้ายไปสักหน่อย แต่ฝีมือด้านการชงชาของนางนั้นเป็นเลิศ อย่างที่กล่าวกันว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลใหญ่ มักจะรู้ได้จากกลิ่นหอมของชา

“เรื่องนั้นไม่สำคัญ” เหยียนหรูอวี้ตอบ “แม่นางอวี๋ไม่อยากรู้เรื่องของตัวเองหรือ?”

อวี๋หวั่นชี้ไปยังถ้วยชา บอกเป็นนัยว่าให้รินชาอีกครั้ง “ข้าไม่อยากฟัง ท่านไม่ต้องพูดได้หรือไม่?”

เหยียนหรูอวี้รินชาให้อวี๋หวั่น “หากไม่ใช่ศัตรูกัน พวกเราต้องเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างแน่นอน”

“ท่านคิดผิดแล้ว คนอย่างท่านเป็นเพื่อนสนิทใครไม่ได้หรอก” อวี๋หวั่นพูดอย่างไม่เกรงใจ

………………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]