อวี๋หวั่นนำหน่อไม้ดองไปหนึ่งจานและอัวอัวโถวที่ป้าสะใภ้ใหญ่เตรียมให้ติดไปด้วย แล้วจึงขึ้นไปนั่งบนรถม้า
“ข้าไม่คุ้นกับการนั่งรถม้ากับบุรุษแปลกหน้า คำขอนี้คงไม่มากเกินไปกระมัง?” อวี๋หวั่นถามด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ
บุรุษผู้นั้นยิ้ม “ได้”
พูดจบ เขาก็ยอมลงจากรถม้าแต่โดยดี
ทว่าผ่านไปเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว ก็กลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับผ้าสีดำในมือ
“เช่นนั้นก็จำต้องล่วงเกินแม่นางอวี๋แล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
อวี๋หวั่นเข้าใจความหมายทันที จึงไม่ได้ขัดขืน
เขาใช้ผ้าปิดตาอวี๋หวั่น ผูกปม จากนั้นก็ลงจากรถไป
รถม้าวิ่งอ้อมในเมืองหลวงอยู่สองสามรอบ ราวกับเพื่อให้มั่นใจว่าอวี๋หวั่นจะไม่สามารถจดจำเส้นทางได้ วิ่งวนจนอวี๋หวั่นไม่รู้เหนือใต้ออกตกอีกต่อไป จากนั้นจึงเคลื่อนต่อไปโดยมิได้หยุด
อวี๋หวั่นนั่งเงียบอยู่บนรถม้า เธอฉีกอัวอัวโถวออกมาปั้นเป็นก้อนกลมเล็ก แล้วโยนออกนอกหน้าต่าง
การเดินทางครั้งนี้ช่างยาวนานนัก อวี๋หวั่นโยนอัวอัวโถวออกไปทุกๆ ครั้งที่นับถึงสามสิบ จากนั้นเมื่อรู้สึกว่าอัวอัวโถวเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นโยนออกไปหนึ่งก้อนทุกครั้งที่นับถึงหกสิบ หลังจากที่อัวอัวโถวก้อนสุดท้ายหมด รถม้าก็หยุดลงพอดี
บุรุษขึ้นมาบนรถม้า ใช้กรรไกรตัดผ้าปิดตาของอวี๋หวั่นออก
แสงสว่างสาดส่องเข้ามาจนอวี๋หวั่นต้องหลับตา เธอยกมือขึ้นมาบังแสง แล้วจึงลงจากรถม้าไปพร้อมกับเขา
ที่นี่คือริมทะเลสาบ แต่ว่าเป็นทะเลสาบที่ใด อวี๋หวั่นเองก็ไม่รู้ กระนั้นเรื่องหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ก็คือ พวกเขาออกมาจากเมืองหลวงแล้ว เมื่อครู่เธอได้ยินเสียงทหารยามเฝ้าประตูเมือง หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ใช้ประตูเมืองทิศใต้อย่างแน่นอน
เนื่องจากนอกประตูเมืองทิศใต้ก็คือตำบลเหลียนฮวา เธอคุ้นเคยกับเส้นทางไปตำบลเหลียนฮวาเป็นอย่างดี ต่อให้ถูกปิดตาอยู่ เธอก็ยังรู้สึกได้
“แม่นางอวี๋” บุรุษผู้นั้นยิ้ม พลางเดินตรงมาหาอวี๋หวั่น เขาบีบถุงผ้าในมือ แล้วส่งให้เธอ “อยากนับหรือไม่?”
อวี๋หวั่นเหลือบมองของในถุง นี่ไม่ใช่ก้อนอัวอัวโถวที่เธอทิ้งเอาไว้เป็นเครื่องหมายหรอกหรือ?
เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “แม่นางอวี๋ พวกข้าอยู่ในแวดวงนี้มาไม่รู้กี่ปี ไม่ยักเคยเห็นวิธีเช่นนี้ เรื่องนี้ข้าจะไม่บอกเจ้านายข้า แต่ใคร่ขอเตือนแม่นางอวี๋สักหน่อย ว่าอย่าเล่นแง่เช่นนี้อีก”
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ
เขาเดินไปยังไปยังท่าเรือเล็กแล้วผายมือ “แม่นางอวี๋ เชิญ”
อวี๋หวั่นเดินไปท่าเรือและขึ้นเรือไป
เรือลำนั้นไม่นับว่าใหญ่โต ทว่าด้านในกลับดูแตกต่าง บุรุษคนนั้นพาอวี๋หวั่นเข้าไปในห้องซึ่งดูวิจิตรงดงาม
เขาหยุดลงที่ปากประตู แล้วบอกกับอวี๋หวั่นว่า “เจ้านายข้ารอแม่นางอวี๋อยู่นานแล้ว แม่นางอวี๋เชิญเข้าไป”
อวี๋หวั่นจึงเดินเข้าไปด้านใน
สิ่งที่เธอไม่ได้คาดคิดเลยก็คือ ผู้ที่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอก็คือเหยียนหรูอวี้
“ทำไมถึงเป็นเจ้า?”
อวี๋หวั่นประหลาดใจ
แต่หลังจากนั้น เธอก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้น่าประหลาดใจสักเท่าไร อย่างไรเสียคนที่สามารถไปรับเด็กน้อยทั้งสามมาจากสกุลเซียวได้ นอกจากเยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว ก็มีเพียงเหยียนหรูอวี้ซึ่งเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของเด็กๆ
เงื่อนไขในการทำกระทำความผิดครบถ้วน แต่แรงจูงใจในการกระทำความผิดกลับฟังไม่ขึ้น
“เหยียนหรูอวี้เจ้าบ้าหรือเปล่า? ใช้ลูกของตัวเองเป็นเครื่องมือเพื่อเรียกให้ข้าออกมาเนี่ยนะ!” อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว
ที่กล่าวกันว่าเสือถึงดุร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง แต่เหยียนหรูอวี้ไม่ได้มองเด็กทั้งสามว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนด้วยซ้ำไป
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่รู้…” เหยียนหรูอวี้ยิ้มน้อยๆ นางกังวลมาตลอดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะสืบรู้ความจริง แต่วันนี้ดูแล้วน่าจะไม่ใช่ เยี่ยนจิ่วเฉาใส่ใจอวี๋หวั่นมากเพียงใด หากรู้ว่าเด็กชนบทคนนี้เป็นมารดาแท้ๆ ของเด็กทั้งสาม จะไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับนางเชียวหรือ?
เช่นนี้ เหยียนหรูอวี้ก็วางใจแล้ว
“ข้าไม่รู้เรื่องอะไร?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]