เสียงขององครักษ์ดังมาจากด้านนอก
อวี๋หวั่นกดความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาในจิตใจ พยายามเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงปกติที่สุด “ร้องไห้ ท่าทางจะกลัว ไม่เป็นไร ท่านไปดูแลคุณหนูเถิด ข้าว่าอาการของคุณหนูยังไม่คงที่”
ไม่ใช่แค่ไม่คงที่ ถ้าเธอดูไม่ผิด เหยียนหรูอวี้น่าจะเสียสติไปแล้ว!
ไหนเลยจะมีคนปกติที่สายตาน่ากลัวถึงเพียงนี้? อีกทั้งยังตีแม่หลินก็จนสลบ ไล่ตะเพิดสาวใช้ ยกกระบี่ขึ้นมาฟาดฟันทุกคนที่ขวางหน้า…นี่มันสตรีผู้อ่อนโยนที่ไหนกันเล่า เหมือนคนเสียสติพูดไม่รู้ความเสียมากกว่า!
อวี๋หวั่นเดินไปจุดตะเกียงน้ำมัน
เหยียนหรูอวี้เสียสติจนเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าทำให้เด็กๆ ได้รับบาดเจ็บหรือไม่
อวี๋หวั่นตรวจดูแขนของเสี่ยวเป่า เขาเป็นคนที่ถูกเหยียนหรูอวี้ฉุดกระชากลากถู แต่ว่าเขาตัวเล็กที่สุด ถูกรังแกได้ง่ายที่สุด ต่อให้นางสติวิปลาสไป ก็ยังเลือกที่จะรังแกคนที่อ่อนแอที่สุด เห็นได้ชัดว่าความโหดเหี้ยมนั้นฝังรากลึกถึงกระดูกจริงๆ
“เจ็บหรือไม่?” อวี๋หวั่นกระซิบถาม
เสี่ยวเป่าร้องไห้สะอึกสะอื้น
อวี๋หวั่นเลิกแขนเสื้อของเสี่ยวเป่าขึ้นดู ยัยบ้าเหยียนหรูอวี้ ทำให้แขนของเสี่ยวเป่าเป็นรอยช้ำ รอยมือลึกบนแขนของเขาทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกปวดใจ
กระนั้นในความโชคร้ายยังมีความโชคดี เพราะกระดูกของเขาไม่หักแต่อย่างใด
หลังจากนั้นอวี๋หวั่นก็ลองตรวจดูส่วนอื่นๆ ของเสี่ยวเป่า หัวเข่าและข้อศอกมีรอยช้ำซึ่งไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เท้าของเขาเย็นเฉียบ เมื่อเทียบกับพี่ๆ อีกสองคนซึ่งอยู่บนเตียง เสี่ยวเป่าซึ่งต้องยืนเท้าเปล่านั้นโชคร้ายกว่ามาก
อวี๋หวั่นตรวจดูต้าเป่าและเอ้อร์เป่า ทั้งสองคนมีอาการตื่นตระหนก แต่ร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บ
เด็กทั้งสามเนื้อตัวสั่นเทิ้ม อวี๋หวั่นกอดพวกเขาเอาไว้ อ้อมกอดของเธอถูกเด็กน้อยครอบครองเอาไว้แล้ว
อวี๋หวั่นกอดพวกเขานิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง เด็กทั้งสามก็ยังคงตัวสั่นด้วยความกลัว อวี๋หวั่นยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้พวกเขา เด็กทั้งสามคนยังคนร้องไห้ไม่หยุด อวี๋หวั่นจึงหอมหน้าผากของพวกเขาด้วยความปวดร้าวใจ
อวี๋หวั่นนึกถึงคืนนั้นที่หมู่บ้านเหลียนฮวา คืนนั้นฝนตกและฟ้าผ่าเช่นกัน ที่เด็กๆ ตกใจกันมากเพียงนี้ เป็นเพราะปกติแล้วพวกเขากลัวเสียงฝนตกฟ้าร้องกันใช่ไหม?
เหยียนหรูอวี้เองก็เสียสติในวันที่ฝนตก?
ว่าแต่ทำไมนางถึงเสียสติกัน?
หรือว่าถูกบางอย่างมากระตุ้น?
‘อะไรกัน? เจ้าไม่เชื่อรึ? เจ้ามีลูกสองคน คนแรกป่วยตาย คนที่สองถูกเจ้าฆ่าตาย ฝนตกหนัก…’
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆ ก็มีคำพูดที่เหยียนหรูอวี้พูด ผุดขึ้นมาในสมองของอวี๋หวั่น ตอนที่เหยียนหรูอวี้พูดประโยคนั้น สีหน้าของนางก็ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก ในตอนนั้นคิดเพียงว่านางจงใจกุเรื่องขึ้นมาปั่นหัวเธอ แต่เมื่อลองมาคิดดูแล้ว เหมือนว่าจะไม่ใช่อย่างนั้น
ถ้าเหยียนหรูอวี้บิดเบือนเรื่องในอดีตของคนอื่น ทำไมกลับดูเหมือนว่านางเองก็จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน?
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็นึกถึงโถใส่เถ้ากระดูกที่ถูกเหยียนเซี่ยขโมยออกมา
เป็นเพราะโถนั้นเล็กเกินไป เธอจึงสงสัยมาตลอดว่าเถ้ากระดูกไม่สมบูรณ์ แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วเถ้ากระดูกนั้นคือกระดูกของเด็กทั้งสองคน?
“คงไม่ใช่เด็กที่เหยียนหรูอวี้บอกว่าเป็นลูกของฉันหรอกมั้ง!” อวี๋หวั่นลืมตัว เผลอพูดสิ่งที่ตนเองคิดออกมา
เด็กน้อยทั้งสามหยุดร้องไห้ แล้วมองไปที่เธอทันที
อวี๋หวั่นรีบบอกว่า “ไม่มีอะไร ร้องไห้ต่อเถอะ”
เด็กน้อยซึ่งหยุดร้องไห้กะทันหัน “…”
อวี๋หวั่นลองปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน ก็พบว่าการคาดเดาของตัวเองพอมีเหตุผลอยู่บ้าง ถ้าหากเหยียนหรูอวี้สูญเสียลูกทั้งสองคนไปในวันที่ฝนตก เช่นนั้นเรื่องนี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล
จิตใจของนางได้รับการกระทบกระเทือนเป็นอย่างมาก ทำให้อารมณ์ของนางเปลี่ยนได้อย่างฉับพลัน น่ากลัวว่านางจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองไม่สบาย และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเด็กๆ จึงไม่คุ้นเคยกับนางสักที
แต่มีเรื่องหนึ่งที่อวี๋หวั่นไม่เข้าใจ หากการคาดเดาของเธอถูกต้อง นางให้กำเนิดแฝดสามมาแล้ว เช่นนั้นเด็กอีกสองคนมาได้อย่างไรกัน? อย่าบอกว่านางคลอดลูกมาทีเดียวห้าคนนะ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้น้อย แต่ถ้าหากไม่ได้มีลูกเพียงท้องเดียว แล้วนางไปตั้งท้องตอนไหน? ท้องกับใครกัน?
ไม่ใช่เยี่ยนจิ่วเฉาอย่างแน่นอน
อย่างไรเสียเยี่ยนจิ่วเฉาก็ถูกเธอจัดการไปแล้วครั้งหนึ่ง
อวี๋หวั่นก้มหน้ามองเด็กทั้งสามในอ้อมกอด เด็กน้อยมองเธอด้วยดวงตาบ้องแบ๊ว สายตาอันไร้เดียงสาของพวกเขาราวกับกำลังมองทะลุไปถึงหัวใจของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นกระซิบถาม “หิวไหม?”
ทั้งสามคนพยักหน้า
“ข้าจะไปหาอะไรให้พวกเจ้ากิน” อวี๋หวั่นบอก
ทั้งสามคว้าชายกระโปรงของอวี๋หวั่นด้วยความวิตก
อวี๋หวั่นนึกขึ้นได้ว่าทั้งสามเป็นเด็กที่เพิ่งเผชิญกับความตื่นตระหนก พวกเขายังเด็ก แม้แต่กบตัวเดียวพวกเขาก็ยังกลัว นับประสาอะไรกับคนตัวใหญ่ที่กำลังเสียสติเล่า ไม่รู้ว่าสองปีที่ผ่านมา เด็กๆ ใช้ชีวิตกันอย่างไร เหยียนหรูอวี้ชั่วร้ายนัก เธอละอยากจะจับนางโยนให้ปลากิน!
อวี๋หวั่นพบว่าเด็กทั้งสามมองเธอด้วยความไม่สบายใจ เธอไม่อยากทำให้พวกเขากลัวอีก จึงกำจัดความคิดเกี่ยวกับเหยียนหรูอวี้ออกไป แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่ไปไหนหรอก แค่จะไปหยิบของกินมาให้ เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
ทั้งสามยังคงไม่ปล่อยมือ
อวี๋หวั่นลูบหลังของพวกเขา แล้วพูดเสียงค่อยว่า “เสื้อผ้าเปียกหมดแล้ว ถ้าไม่เปลี่ยนจะป่วยเอา ป่วยแล้วก็ต้องกินยา ยาขมมากๆ ด้วยนะ”
เด็กทั้งสามฟังรู้เรื่องในทันที ดูแล้วน่าจะเคยกินยา และยังจดจำได้ดี
ทั้งสามปล่อยมือจากอวี๋หวั่นด้วยความลังเล แล้วมองเธอด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
อวี๋หวั่นลอบถอนหายใจ ถ้าพวกเขามองเธออีก เธอคงจะไม่กล้าก้าวออกนอกประตูแล้ว
หลังจากออกมานอกห้อง อวี๋หวั่นก็ปิดประตูลง หากมองอีกมุมหนึ่ง เด็กๆ อยู่บนเรือนับว่าปลอดภัย เมื่อมั่นใจว่าเด็กๆ จะไม่ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของเหยียนหรูอวี้ อวี๋หวั่นก็ตัดสินใจออกไปสำรวจสถานการณ์ของเหยียนหรูอวี้
ท้องฟ้ายังมีฝนกระหน่ำและฟ้าร้อง แต่เรือก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้ายเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเหยียนหรูอวี้ไม่เพียงเสียสติ แต่นางก็ยังโง่เง่าอีกด้วย
อวี๋หวั่นมายังห้องของเหยียนหรูอวี้ เหยียนหรูอวี้ถูกองครักษ์ควบคุมเอาไว้ พวกเขาเห็นว่าที่เธอตบเหยียนหรูอวี้ก็เพื่อช่วยเหลือคุณชายน้อย ไม่มีใครเอาผิดเธอแต่อย่างใด หรือไม่ในใจของพวกเขาเอง ก็คิดอยากจะจับสตรีวิปลาสผู้นี้มาตบสักร้อยครั้ง
องครักษ์ที่มีวรยุทธ์สูงส่งคนหนึ่งสกัดจุดให้เหยียนหรูอวี้สลบ เมื่อจับเหยียนหรูอวี้นอนลง พวกเขาก็ออกไป
บรรดาสาวใช้วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงไปตั้งแต่แรกแล้ว ภายหลังก็ถูกองครักษ์เรียกตัวกลับมา
อวี๋หวั่นไม่อยากให้ปัญหาใหม่ประเดประดังเข้ามาอีก จึงหยิบอาหารและเสื้อผ้าสะอาดสำหรับเปลี่ยนสามชุด แล้วกลับห้องไป เด็กทั้งสามเห็นว่าเธอกลับมา ก็รีบโผเข้าในอ้อมกอด
อวี๋หวั่นจับพวกเขานั่งบนเก้าอี้ยาว เปลี่ยนเสื้อผ้าให้พวกเขา แล้วหยิบขนมอวิ๋นเพี่ยนและขนมถั่วเขียวมาให้พวกเขาแบ่งกันกิน ทั้งสามคนหิวโหยมาตลอดทั้งวัน ขนมที่มีอยู่นั้นไม่เพียงพอ อวี๋หวั่นจึงฉวยโอกาสในจังหวะชุลมุนไปหยิบไก่พะโล้และหมั่นโถวกลับมา จากนั้นก็นำมาย่างบนเตาสำหรับผิงไฟ
ทั้งสามกัดปีกไก่และน่องไก่ อวี๋หวั่นก็กินไปเล็กน้อย
“สตรีคนนั้นเล่า?”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านนอก เป็นเสียงของผู้ชายที่ไปรับเธอมาจากหอจุ้ยเซียนนั่นเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]