ตอน บทที่ 8.1 จาก หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 8.1 คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายความรัก หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3] ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
เมื่อเห็นเด็กน้อยสามคนนี้ ก้อนขนน้อยที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของอวี๋หวั่นก็ตกใจจนหลุดร้องเสียงลั่น!
วิเศษ วิเศษจนตาแทบบอด…
อวี๋หวั่นไม่ทันคาดคิดว่าชั่วครู่เดียวที่เธอไม่อยู่ มารดาของเธอจะรีบร้อนแข่งกับเวลา พาเด็กน้อยทั้งสามไปพบกับความโชคร้าย
เธอควรจะรู้สึกขอบคุณมารดาที่ยังไม่ได้ขำจนเก็บอาการไม่อยู่เพราะยังเกรงใจที่มีแขกมาเยี่ยมเยียนใช่หรือไม่?
ภายในบ้าน นางเจียงอ้าปากค้าง
อวี๋หวั่น “ท่านแม่”
นางเจียงหุบปากอย่างขุ่นเคือง
อวี๋หวั่นพาเด็กน้อยที่สภาพดูไม่จืดไปล้างหน้าในสวนหลังบ้าน
เด็กน้อยที่ล้างหน้าจนสะอาด เผยให้เห็นรูปโฉมดั้งเดิม ใบหน้างดงามไร้ที่ติสุดจะพรรณนานี่มัน…นี่มัน…
ชื่อของบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้นมาในความคิดของเยี่ยนไหวจิ่ง
เขาตัวสั่นสะท้าน!
อายุ รูปร่าง หน้าตา แฝดสามคน ล้วนตรงตามนั้นทุกอย่าง หากบอกว่าไม่ใช่บุตรของเยี่ยนจิ่วเฉาก็คงไม่มีใครเชื่อ ทว่า…เหตุใดบุตรของเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ในบ้านแม่นางอวี๋
หรือว่าพวกเขาทั้งคู่จะมี…
“คุณชายสวี่” อวี๋หวั่นขัดจังหวะความคิดของเขา “ข้าจะเปลี่ยนใบสั่งยา ยาขี้ผึ้งทาต่อไป ยากินงดเว้นได้ ทว่าต้องอาบน้ำยาวันละหน”
เยี่ยนไหวจิ่งรับใบสั่งยาที่อวี๋หวั่นเขียนมา ลายมือสวยงามบนกระดาษหยาบๆ ทำให้ยากจะเชื่อว่ามาจากสตรีในหมู่บ้าน
ตอนนั้นนางมากับแม่นมที่ดูมีสง่าราศีคนหนึ่ง นางคงต้องเป็นสตรีที่ดีแน่
“เจ้า…เจ้าเรียนรู้อักษรมาจากผู้ใด?” เยี่ยนไหวจิ่งถาม
อวี๋หวั่นไม่ได้ฝึกการเขียนตัวอักษรอย่างจริงจัง มันเป็นของเจ้าของร่างเดิม ทว่าเธอก็จำไม่ได้ว่าเจ้าของร่างเดิมเรียนกับผู้ใดมา แต่มีสิ่งหนึ่งที่บอกได้คือ เจ้าของร่างเดิมไม่รู้หนังสือก่อนที่จะหายตัวไป
“ท่านว่าอย่างไรนะ? ลายมือข้ายังไม่ดีพอหรือ?” อวี๋หวั่นหลีกเลี่ยงคำถามของเขาอย่างชาญฉลาด
เมื่อเยี่ยนไหวจิ่งได้ยินวาจาเลี่ยงคำถาม จึงไม่ได้ถามสิ่งใดต่อ
อวี๋หวั่นก้มลงไปกอดเจ้าก้อนขนตัวอ้วนที่พื้น
สายตาของเยี่ยนไหวจิ่งตกกระทบศีรษะของเธอ หลังจากเธอยืนขึ้น เขาก็วางใบสั่งยาและก้าวไปหาเธอ
ทันทีที่อวี๋หวั่นอุ้มเจ้าก้อนขนฟูขึ้นมาก็รู้สึกว่าเหนือศีรษะของเธอมืดลง เงาร่างสูงใหญ่กำยำแผ่ปกคลุมทั่วทั้งตัวเธอ กลิ่นหอมคล้ายอำพันปลาวาฬจางๆ ลอยมาสัมผัสปลายจมูก
มือของเยี่ยนไหวจิ่งค่อยๆ ยื่นไปหาอวี๋หวั่น และกำลังจะสัมผัสเธอ ทันใดนั้นเด็กน้อยทั้งสามคนก็รีบเข้ามาขวางระหว่างเขากับอวี๋หวั่น พลางเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาด้วยสายตาเกลียดชัง!
มือของเยี่ยนไหวจิ่งหยุดชะงัก
“มีอันใดหรือ?” อวี๋หวั่นถามพลางหันกลับมามองมือที่ถูกแช่แข็งอยู่กลางอากาศของเขา
เยี่ยนไหวจิ่งเอ่ยปาก “เจ้า…มีใบไม้อยู่บนหัว”
อวี๋หวั่นยกมือขึ้นลูบผมและสัมผัสกับใบไม้สีเขียวที่อยู่บนมวยผมของเธอ
เด็กจ้ำม่ำเดินไปที่ประตูอย่างพร้อมเพรียง และออกแรงดันประตูสุดกำลัง จนมันเปิดออกอย่างน่าประหลาดใจ
คนโตใช้ก้นเล็กดันประตู
เยี่ยนไหวจิ่งตกใจ กำลังจะอ้าปากเอ่ย คนรองและคนเล็กก็วิ่งผ่านเขาไป
คนรองยืนเขย่งเอื้อมหยิบในสั่งยาบนโต๊ะมายัดใส่มือซ้ายของเขาอย่างไม่ลังเล!
เยี่ยนไหวจิ่งสะดุ้งอีกครั้ง
คนเล็กคว้าหางก้อนขนและจับคว่ำลง จากนั้นก็ผลักมันเข้าไปในมือขวาของเขาอย่างเด็ดขาด!
ทั้งหมดมองเขาด้วยสีหน้ารังเกียจเชิงผลักไส
เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว!
เยี่ยนไหวจิ่ง “…”
เมื่อเยี่ยนไหวจิ่งพาเจ้าอ้วนกลมเข้าไปในรถม้า จวินฉางอันก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เร็วไปหรือไม่?”
แสร้งทำเหมือนเขาไม่ได้เห็นองค์ชายรองที่ยิ่งใหญ่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมถูกเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ยังไม่หย่านมขับไล่ออกมา…
จวินฉางอันกล่าวด้วยความเห็นอกเห็นใจ “องค์ชายรองก็มีช่วงเวลาที่ถูกรังเกียจด้วยหรือนี่?”
ใบหน้าของเยี่ยนไหวจิ่งมืดหม่น
แล้วที่แสร้งทำเป็นไม่เห็นล่ะ?
จวินฉางอัน “อ้อ อยากมีบุตรกับมามาด้วย”
เยี่ยนไหวจิ่ง “…”
…
หลังจากเยี่ยนไหวจิ่งจากไป ในที่สุดบ้านสกุลอวี๋ก็ไม่มีแขกผู้มีเกียรติมาเยี่ยมเยือน โรงงานดำเนินต่อไปหลายวัน ชาวบ้านต่างเหนื่อยล้า อวี๋หวั่นจึงให้พวกเขาหยุดพักสองวัน
“จะไม่กระทบต่อธุรกิจหรือ?” หลี่เจิ้งถามอย่างเป็นห่วง เขาไม่ได้ทำงานในโรงงาน ทว่าทั้งหมู่บ้านไม่มีที่ดิน ชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับโรงงาน เขาจึงกังวลเกี่ยวกับธุรกิจของโรงงานยิ่งกว่าสกุลอวี๋
อวี๋หวั่นยิ้มและกล่าวว่า “ธุรกิจเป็นไปได้ดี ท่านผู้ใหญ่บ้านโปรดวางใจ”
สิ่งสำคัญในยามนี้ยังคงเป็นการแข่งขัน หลังเสร็จสิ้นจากการแข่งขันใหญ่ จึงจะลงนามข้อตกลงการจัดซื้อสินค้าอย่างจริงจัง ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงไม่มีเวลาพักผ่อนได้มากกว่านี้
เมื่อได้ยินว่าธุรกิจไปได้ดี หลี่เจิ้งก็โล่งใจ “ดี ข้าก็อยากจะแสดงให้ชาวบ้านเห็นว่าจะได้ที่ดินมาได้อย่างไร และต้องปลูกสิ่งใดในปีหน้า”
ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือข้าว ท้ายที่สุดก็ยังเป็นคนในชนบท แปลงก็ไม่อาจปล่อยทิ้งร้างได้ตลอด
“แท้จริงแล้ว…” อวี๋หวั่นหยุดชะงัก
“ว่ามาเถิด” ตอนนี้หลี่เจิ้งให้ความสำคัญกับอวี๋หวั่นมาก ทุกวาจาของอวี๋หวั่นล้วนทำให้เขาสนใจ
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าขึ้นไปบนภูเขาและพบว่าหลังจากพื้นดินเคลื่อนตัว พื้นที่ของภูเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน มันไม่ได้แย่ลงทว่ากลับดีขึ้นกว่าเดิม หลี่เจิ้ง เราพิจารณาบุกเบิกพื้นที่ป่าดีหรือไม่? ภูเขาด้านหลังมีธารน้ำใช้เป็นบ่อเลี้ยงปลาธรรมชาติได้ ภูเขาด้านหลังอุดมสมบูรณ์ มีพืชผลมากมายให้ปลูก”
วอลนัต ลูกพลับ ลูกแพร์ ผัก องุ่น…มีมากกว่าสิบชนิดที่ผุดขึ้นมาในความคิดของอวี๋หวั่น ป้าใหญ่ปลูกตั้งแต่ตอนที่เธอยังเป็นเด็ก หากป้าเธอปลูกได้ เธอกับชาวบ้านก็ต้องปลูกได้เช่นกัน
“เอ่อ…” หากเป็นเมื่อก่อน หลี่เจิ้งคงไม่เคยคิดจะไปที่ภูเขา ทว่ายามนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ เขาต้องวางแผนให้มากขึ้นเพื่อหมู่บ้าน “พวกเรามีกันเท่านี้ จะหักร้างถางพงไหวหรือ?”
นี่นับว่าอนุมัติข้อเสนอของอวี๋หวั่นแล้ว
อวี๋หวั่นกล่าว “เราจะเชิญคนมาที่นี่!”
“หือ?” หลี่เจิ้งประหลาดใจ
อวี๋หวั่นยิ้มมุมปาก “หลี่เจิ้งลืมไปแล้วหรือ เรายังทำธุรกิจอยู่ เมื่อเราหาเงินได้ เราก็สามารถออกไปข้างนอกและเชิญชวนผู้คนให้กลับมาเปิดพื้นที่รกร้างได้”
เชิญ เชิญคนมาเปิดพื้นที่รกร้าง? ช่างเป็นเรื่องที่กล้าหาญ หลี่เจิ้งคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ!
ความคิดของหลี่เจิ้ง ที่ผ่านมาพวกเขาเป็นแต่เพียงฝ่ายใช้แรงงานให้ผู้อื่น…
……………………………………………………..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2-3]